Mother of Russia : แผ่นดินแม่ สร้างขึ้นเพื่อกระตุ้นเตือนให้ชาวรัสเซียหวงแหนแผ่นดินเกิด หรือแผ่นดินแม่ ซึ่งจะให้ใครมาครอบครองไม่ได้ เราจะร่วมกันสู้ปกป้องไว้จนลมหายใจเฮือกสุดท้าย... จงถอยไปเจ้านาซีผู้รุกราน
ทุกวันที่ 9 พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันแห่งชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของรัสเซีย อนุสาวรีย์สตรีมือขวากำดาบชูขึ้นบนฟ้า มือซ้ายแบมือแผ่ยื่นออกไปจากลำตัว (the Statue of Mother Russia) สูงใหญ่ตระการตา เต็มไปด้วยความมีพลังของรูปทรง ทำให้มองดูแล้วน่าเกรงขามและน่าเลื่อมใสในความรักชาติของชาวรัสเซีย
อนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1967 เป็นอนุสาวรีย์ที่สูงที่สุดในโลกในยุคนั้น เป็นอนุสาวรีย์แห่งอิสระภาพ หนักถึง 8000 ตัน สูง 52 เมตร เป็นอนุสาวรีย์ที่แสดงถึงรูปทรงของสตรี ปราดเปรียว มุ่งไปข้างหน้า ท่าทางเหมือนกำลังข่มขู่ข้าศึก ผู้หวังจะเหยียบย่ำ และเรียกให้ผู้คนตามออกมารบด้วย
อนุสาวรีย์นี้สามารถมองเห็นได้แต่ไกลถึง 1,000 กิโลเมตรเลยทีเดียว เมือง Volgograd โวลโกกราด เดิมชื่อเมือง สตาลินกราด หลังจากสตาลินหมดอำนาจลง จึงได้เปลี่ยนชื่อเมือง เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ไกลจากกรุงมอสโกประมาณ 1300 กิโลเมตร มีแม่น้ำโวลกา (Volga) ไหลผ่าน หากคุณได้ไปเยือน Mother of Russia ก็อย่าลืมแสดงความเคารพ เหล่าผู้กล้าที่สละชีวิตกันที่นี่นะครับ
สร้างด้วยแสตนเลส อนุสาวรีย์ชิ้นใหญ่ชิ้นนี้ สร้างเพื่ออุทิศให้แก่นักรบผู้กล้า 600,000 คน ผู้ซึ่งสละชีวิตเพื่อรักษาแผ่นดิน ณ ที่แห่งนี้
ยุค สงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมันบุกรัสเซีย สมรภูมิรบที่ Volgograd (สมัยนั้นเรียก Stalingrad เรียกเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำสตาลิน) โหดร้ายมาก ผู้หญิง เด็ก ถูกเกณฑ์ออกมารบคนแล้วคนเล่าเพื่อปกป้องประเทศอันเป็นที่รัก จากนักล่าผู้บ้าคลั่งในนามของกองทัพฮิตเลอร์แห่งเยอรมันนี ศพแล้วศพเล่า ถับถมกัน แม่น้ำโวลกา แดงฉานไปด้วยเลือด ศพลอยเกลื่อน เสียงเครื่องบิน เสียงระเบิด เสียงปืนกล ดังไม่ขาดระยะ เมื่อสิ้นสุดสงครามประชากรครึ่งเมืองเสียชีวิต ความพลัดพลากจากคนที่รัก ครอบครัว ความย่อยยับของเมือง....... สิ่งนี้แหละที่สงครามมอบให้
รัสเซียรบชนะเยอรมันนี น้ำตาแห่งความยินดี เสียงโห่ร้อง ดังไปทั่วเมืองสตาลินกราด (มีการนำมาสร้างภาพยนตร์ เรื่อง Enemy at the Gates กระสุนสังหารพลิกโลก ซึ่งเล่าเรื่องถึงพลแม่นปืนนายหนึ่ง ซึ่งเป็นวีระบุรุษคนหนึ่งของรัสเซีย)
หลังจากนั้น ทุกวันที่ 9 พฤษภาคม ถูกกำหนดให้เป็นวันหยุดแห่งชาติ และเรียกว่า วันแห่งชัยชนะ (Victory Day) จะมีคนจำนวนมากมารำลึกอดีตกันที่นี่ พวงรีด ดอกไม้ วางไว้บนหลุมศพผู้กล้า หยาดน้ำตาไหลริน ความเจ็บปวดหวนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับความยินดีที่เต็มเปี่ยม ทหารผ่านศึกได้รับความชื่นชมจากทุกๆ คน ยิ้มพร้อมน้ำตา น้ำตาแห่งความเจ็บปวดและความมีชัย
ว่ากันว่า ทหารจำนวนไม่น้อย ถูกฆ่าตายโดยฝีมือรัสเซียด้วยกันที่มีหน้าที่คอยตรวจตราทหารหนีทัพ เพราะมีกฏห้ามหนี ห้ามคิดหนี สู้จนคนสุดท้าย อีกทั้งห้ามประชาชนอพยพออกจากเมือง ให้อยู่ภายในเมืองให้ทหารรักษาความปลอดภัยให้ (จำนวนผู้ล้มตายไม่แน่ชัด บางท่านบอกล้านกว่าคน บางท่านบอกหกแสนกว่าคน อาจจะรวมและไม่รวมพลเรือนก็เป็นได้)
เนื้อหาภาพยนตร์ / เบื้องหลังภาษาอังกฤษ ภาพที่ 5 คนซ้ายมือ คือ วีระบุรุษวาซิลิ เซทเซฟ The Soviet Union was the first to employ Snipers in two-man teams. Vassili Zaitsev (left) and two sniper comrades observed German positions in Stalingrad |