| เนิ้อหานี้อยู่ในหมวด : มาเฟียรัสเซีย
สหรัฐฯสนอกสนใจ " แก๊งมาเฟียรัสเซีย'ในเมืองไทย" | มีรายงานลับทางการทูตของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่เว็บไซต์ วิกิลีกส์ เปิดเผยออกมาหลายฉบับ ระบุว่าสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯในกรุงเทพฯ ได้จัดตั้งทีมนักการทูตขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ดำเนินการให้เกิดความมั่นใจว่า ไทยจะส่งตัว วิกเตอร์ บูท นักค้าอาวุธเถื่อนชาวรัสเซียไปให้สหรัฐฯในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ขณะเดียวกันก็มีรายงานลับอีกฉบับหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่า หน่วยงานต่างๆ ของฝ่ายอเมริกันยังกำลังพยายามที่จะกำจัดพวกแก๊งอาชญากรชาวรัสเซียซึ่งเคลื่อนไหวคึกคักตามแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของไทย รวมทั้งมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความพยายามของมอสโกที่จะสร้างสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับกรุงเทพฯ
กรุงเทพฯ สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯ (Federal Bureau of Investigation หรือ FBI), สำนักงานปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐฯ (US Drug Enforcement Administration หรือ DEA), กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Department of Homeland Security), ตลอดจนหน่วยงานอื่นๆของอเมริกา ได่ดำเนินการสืบสวนสอบสวน พวกเครือข่ายแก๊งอาชญากรชาวรัสเซีย ที่ก่อคดีฆาตกรรมและโจรกรรมตามแหล่งพักผ่อนตากอากาศริมทะเลในประเทศไทยซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบของพวกนักเที่ยวเที่ยว ทั้งนี้เป็นเนื้อหาในรายงานลับฉบับหนึ่งของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำกรุงเทพฯ ที่เว็บไซต์วิกิลีกส์นำออกมาเผยแพร่
ประเทศไทยนั้นเป็นชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ทันสมัย และพลเมืองส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ แต่ปรากฏว่าพวกอาชญากรจากที่ต่างๆ ทั่วโลกดูจะติดอกติดใจในประเทศนี้ สืบเนื่องจากบรรยากาศโดยทั่วไปที่มีความเป็นมิตร, มีคนงานที่ว่าจ้างได้ในราคาถูก, มีเจ้าหน้าที่ซึ่งมักทุจริต, และมีเครือข่ายการปลอมเอกสารและอุตสาหกรรมเซ็กซ์ที่ประณีตซับซ้อน
รายงานทางการทูตของสหรัฐฯฉบับดังกล่าว ซึ่งประทับตราเป็นเอกสาร ลับ (confidential) ใช้หัวข้อเรื่องว่า รัสเซียมองหาทางชุบชีวิตความสัมพันธ์ทวิภาคีกับประเทศไทยอีกครั้ง (RUSSIA LOOKS TO REINVIGORATE BILATERAL RELATIONS WITH THAILAND, AGAIN) และลงวันที่ 4 ธันวาคม 2009 พร้อมกับระบุว่าผู้จัดชั้นความลับคือ เจมส์ เอนต์วิสเซิล (James Entwistle) ผู้มีตำแหน่งเป็นนักการทูตหมายเลขสองของสถานเอกอัครราชทูตแห่งนี้ (deputy chief of mission) รายงานฉบับนี้ลงนามตอนท้ายโดยตัวเอกอัครราชทูต อีริก จอห์น (Eric John) ซึ่งได้เขียนหมายเหตุระบุว่า รายงานฉบับนี้เป็นความร่วมมือกับสถานเอกอัครราชทูต (สหรัฐฯ ใน) กรุงมอสโก
ในเวลานั้น สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำกรุงเทพฯแห่งนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการพิจารณาคดีส่งตัว วิกเตอร์ บูท ชาวรัสเซียผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นพ่อค้าอาวุธเถื่อนรายใหญ่ ไปฟ้องร้องดำเนินคดีที่สหรัฐฯ โดยในเอกสารรั่วไหลฉบับก่อนหน้านี้ที่เผยแพร่โดยวิกิลีกส์ มีเนื้อความที่เผยให้เห็นว่าทางสถานเอกอัครราชทูตแห่งนี้ได้จัดนักการทูตหลายคนมาตั้งเป็น คณะทำงานเรื่องบูท (Bout team) เพื่อดำเนินการให้เกิดความมั่นใจว่าไทยจะส่งตัวเขาให้สหรัฐฯ
ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการที่มีนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียมาเยือนไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องรับมือกับผลข้างเคียงซึ่งไม่พึงประสงค์ประการหนึ่ง นั่นก็คือการปรากฏขึ้นมาของเครือข่ายแก๊งอาชญากรชาวรัสเซียในบริเวณแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นชายหาดยอดนิยมอย่าง พัทยา และ ภูเก็ต รายงานลับฉบับนี้กล่าว
แวดวงแก๊งอาชญากรชาวรัสเซียมีการปรากฏตัวอย่างมั่นคงในประเทศไทยในช่วงทศวรรษ 1990 ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต รายงานของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯฉบับนี้ระบุ
หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯจำนวนหนึ่ง กำลังเข้าไปเกี่ยวข้องในการสืบสวนสอบสวน หรือในการเฝ้าติดตามคดีความต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแก๊งอาชญากรชาวรัสเซียในประเทศไทย ในลักษณะที่เป็นการร่วมมือกับหุ้นส่วนฝ่ายไทย ทั้งนี้หน่วยงานสหรัฐฯเหล่านี้ ได้แก่ สำนักงานสอบสวนกลาง, สำนักงานปราบปรามยาเสพติด, และฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (Immigration and Customs Enforcement) ของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ
หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้รายงานว่า เครือข่ายอาชญากรซึ่งประกอบด้วยบุคคลสัญชาติรัสเซียเป็นส่วนใหญ่ และกำลังปฏิบัติการอยู่ในพัทยาและภูเก็ต เป็นผู้รับผิดชอบก่อคดีอาญาจำนวนมาก เป็นต้นว่า ขู่กรรโชก, ฟอกเงิน, ค้ายาเสพติด, ฉ้อโกงด้านอสังหาริมทรัพย์, ฉ้อโกงด้านการเงิน, ลักลอบค้ามนุษย์, ล่อลวง, ปลอมแปลงสินค้า, ปลอมเอกสาร, ก่ออาชญากรรมในโลกไซเบอร์, และนำเข้ารถยนต์อย่างผิดกฎหมาย ตลอดจนฆ่าคนตาย
ขณะที่กิจกรรมจำนวนมากของแก๊งอาชญากรชาวรัสเซียในประเทศไทย กระทำกันอย่างเงียบๆ แต่มีคดีที่พิเศษกว่าเพื่อนรวม 3 คดีซึ่งทำให้สาธารณชนเกิดความตระหนักรับรู้ถึงปรากฏการณ์เช่นนี้ กล่าวคือ เมื่อเดือนเมษายน 1998 เจ้าของภัตตาคารชาวรัสเซียชื่อ คอนสแตนติน โปโวลซกี (Konstantine Povoltski) ถูกพบเป็นศพในสภาพถูกยิงเสียชีวิตในรถยนต์คันหนึ่ง ที่จอดอยู่ใกล้ๆ ภัตตาคารแห่งหนึ่งใน 2 แห่งของเขาในเขตพัทยาใต้
ในเดือนสิงหาคม 2003 ตำรวจเข้าจับกุมโจรปล้นธนาคารชาวรัสเซียได้ 3 คนเมื่อเรือสปีดโบตของพวกเขาวิ่งไปจนน้ำมันหมด หลังจากที่พวกเขาดอดเข้าไปในธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาพัทยาใต้ โจรกรรมเงินไปได้ 2.4 ล้านบาท และสังหารตำรวจไทยตายไป 1 คน ในเวลาต่อมา ไรนาต โคอูไดอารอฟ (Rinat Koudaiarov) ถูกตัดสินลงโทษประหารชีวิตจากการเป็นผู้ลงมือยิงสังหาร
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2007 สตรีชาวรัสเซีย 2 คนถูกพบว่าถูกฆาตกรรมที่หาดจอมเทียม ซึ่งอยู่ห่างจากพัทยาราว 10 กิโลเมตร (6 ไมล์) ท่ามกลางการคาดเดากันว่านี่เป็นฝีมือการสั่งเก็บของพวกแก๊งอาชญากรชาวรัสเซีย
รายงานลับของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯฉบับนี้ ยังได้ทำการตรวจสอบเจาะลึกถึงอิทธิพลของมอสโกที่มีต่อเศรษฐกิจ, การทูต, และวัฒนธรรมของกรุงเทพฯ
รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เกย์ ลัฟรอฟ (Sergei Lavrov) เน้นย้ำว่าดินแดนทางตะวันออกของรัสเซียนั้นมีทรัพยากรธรรมชาติ --เป็นต้นว่า น้ำมัน, ก๊าซ, และถ่านหิน ซึ่งสามารถที่จะกลายเป็นเครื่องมือสำหรับการเข้ามีปฏิสัมพันธ์กันเพิ่มมากขึ้นกับประเทศต่างๆ อย่างเช่นไทย ในระหว่างที่ลัฟรอฟเยือนกรุงเทพฯเมื่อเดือนกรกฎาคม 2009 รายงานลับฉบับนี้แจกแจง
ลัฟรอฟแถลงว่า รัสเซียมีความสนใจในการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกระดับภูมิภาคขึ้นในประเทศไทย ทั้งนี้เพื่อใช้ในการเก็บรักษา, การแปรรูป, และการค้า น้ำมันและก๊าซของรัสเซีย สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯระบุ
ระหว่างที่รองนายกรัฐมนตรี เซอร์เกย์ โซเบียนิน (Sergey Sobyanin) ของรัสเซีย เยือนกรุงเทพฯในเดือนพฤศจิกายน 2009 เขาได้พบหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย โดยที่ โซเบียนินมองหาทางที่จะเพิ่มพูนการค้าและการลงทุน, ส่งสัญญาณเจตนารมณ์ของรัสเซียที่จะร่วมมือกับไทยในการวิจัยและการพัฒนาในภาคน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ, รวมทั้งเน้นย้ำความปรารถนาของรัสเซียที่จะร่วมมือกับไทยในประเด็นด้านความมั่นคงและวัฒนธรรม
พวกนักการทูตสหรัฐฯยังได้สอบถามความคิดเห็นของชาวไทยคนสำคัญๆ เพื่อค้นหาว่า เจตนารมณ์, ความเข้มแข็ง, และแรงจูงใจของมอสโกนั้น เข้ากันได้กับความต้องการของกรุงเทพฯหรือไม่ โดยในรายงานลับฉบับนี้ได้เปิดเผยให้ทราบว่า วอชิงตันพิจารณาว่าใครบ้างคือคนที่ตนควรไว้วางใจรับฟังทัศนะในเรื่องสายสัมพันธ์รัสเซีย-ไทย
เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งจาก กรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศของไทย ชื่อ วัชรินทร์ วงศ์วิวรรธไชย (Wacharin Vongvivatachaya) บอกกับทางสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯว่า การค้าและการท่องเที่ยวคือส่วนประกอบสำคัญที่สุดในความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย-รัสเซีย สำหรับรัสเซียนั้น ประเทศไทยเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของตนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยปริมาณการค้าในระดับเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี เปรียบเทียบกับการค้าสหรัฐฯ-ไทยซึ่งมีปริมาณสูงกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
วัชรินทร์ระบุว่า สินค้าออกสำคัญของรัสเซียที่ส่งมายังประเทศไทย ได้แก่ เหล็กแผ่น, เศษโลหะ,ปุ๋ย, สินแร่ที่ยังไม่ผ่านการถลุง, ยางสังเคราะห์, เพชร, กระดาษและเยื่อกระดาษ ส่วนสินค้าออกของไทยที่ส่งไปยังรัสเซียคือ น้ำตาล, ข้าว, อัญมณี, เสื้อผ้า, รองเท้า, อาหารกระป๋อง, และเครื่องเฟอร์นิเจอร์
วัชรินทร์กล่าวเพิ่มเติมว่า บรรษัทนานาชาติชั้นนำของไทย คือ ซีพี กรุ๊ป ได้เคยไปลงทุนในรัสเซีย ด้วยการตั้งโรงงานผลิตอาหารสัตว์ขึ้นในแถบชานกรุงมอสโก ถึงแม้แทบไม่มีการลงทุนของรัสเซียในประเทศไทยเลย โดยที่มาลงทุนนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นธุรกิจขนาดเล็กๆ
คนไทยที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ทางการ ซึ่งเราได้พูดคุยด้วยในเรื่องเกี่ยวกับการผลักดันทางการทูตของรัสเซีย ต่างมีความคิดเห็นโดยทั่วไปในทางไม่ให้ความสนใจ อาจารย์ รมย์ ภิรมนตรี (Rom Phiramontri) ผู้อำนวยการศูนย์รัสเซียศึกษา แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ทัศนะว่าโดยทั่วไปแล้วรัสเซียมีอิทธิพลน้อยมากในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย
ในความเห็นของเขาแล้ว รัสเซียกำลังพยายามที่จะเพิ่มอิทธิพลให้มากขึ้นในไทย ซึ่งในทางภูมิศาสตร์แล้วอยู่ตรงศูนย์กลางของอาเซียน โดยถือเป็นความพยายามที่จะขยายอิทธิพลในตลอดทั่วทั้งภูมิภาคแถบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางเศรษฐกิจ รายงานลับฉบับนี้ระบุ
อาจารย์ .กัณฐัศศา ทันจิตต์ (Kantassa Thunjitt) จากโครงการรัสเซียศึกษา แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกกับเราว่ารัสเซียกำลังพยายามแสดงบทบาทมากขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมกับชี้ว่ารัสเซียพยายามที่จะยกฐานะตัวเองในภูมิภาคแถบนี้ ด้วยการเสนอตัวเองเป็นอีกทางเลือกหนึ่งนอกเหนือจากสหรัฐฯและจีน
คณะทหารของไทยที่ผ่านการฝึกอบรมจากสหรัฐฯ ได้ก่อการรัฐประหารขึ้นในเดือนกันยายน 2006 และโค่นล้มนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ผู้ซึ่งเวลานี้กำลังเนรเทศตนเองไปอยู่ต่างแดน เพื่อหลบหนีโทษจำคุก 2 ปีในความผิดคอร์รัปชั่น
อัจฉรา อัชฌายกชาติ (Achara Ashayagachat) ผู้สื่อข่าวอาวุโสแห่งบางกอกโพสต์ บอกกับเราเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ทักษิณเคยมองหารัสเซียเพื่อขยายโอกาสทางการตลาด อัจฉรายังเชื่อว่าทักษิณมุ่งสร้างสมดุลในความสัมพันธ์ที่ไทยมีอยู่กับทั้งสหรัฐฯและจีน ด้วยการเข้ามีปฏิสัมพันธ์กับรัสเซีย ขณะเดียวกันนั้นก็มองหาหนทางที่จะสร้างผลกำไรให้ได้มากที่สุดไปด้วย
สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯยังแสดงความสนใจในความสัมพันธ์ทางการทูตและทางวัฒนธรรมระหว่างกรุงเทพฯกับมอสโก ซึ่งสามารถสาวย้อนกลับไปถึงครั้งที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ได้ทรงแลกเปลี่ยนการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศของกันและกันในช่วงปี 1909-1910 การเสด็จเยือนไทยของพระเจ้าซาร์เป็นเรื่องที่คนไทยจำนวนมากมองเห็นว่า ได้ช่วยเพิ่มพูนยกระดับฐานะความเป็นเอกราชของสยามขึ้นมาเป็นอย่างมาก ในสภาพที่ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสต่างกำลังกดดันบีบคั้นเรื่องพรมแดนและอธิปไตยของสยาม รายงานฉบับนี้กล่าว
วัชรินทร์ วงศ์วิวรรธไชย บอกกับเราว่า ความสัมพันธ์ไทย-รัสเซียขึ้นสู่จุดสูงสุดในช่วงที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม 2007
ระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระองค์ได้เสด็จเยือนกรุงมอสโกและนครเซ็นต์ปิเตอร์สเบิร์ก ทั้ง (ประธานาธิบดี วลาดิมีร์) ปูติน (ซึ่งกำลังจะพ้นตำแหน่ง) และ ดมิตริ เมดเวเดฟ ที่ขณะนั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง ต่างก็ได้เข้าเฝ้ารับเสด็จ นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงพอพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่งในคณะบัลเลต์ มาริอินสกี (Mariinsky Ballet) ผลก็คือ รัฐบาลราชอาณาจักรไทยได้จัดให้คณะบัลเลต์มาริอินสกี เดินทางมาเยือนไทยในเดือนธันวาคม 2007 เพื่อเปิดการแสดงเนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รายงานลับฉบับนี้แจกแจง
ริชาร์ด เอส เอห์รลิช เป็นนักหนังสือพิมพ์จากเมืองซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เวลานี้ตั้งฐานอยู่ในกรุงเทพฯ เขาติดตามทำข่าวจากเอเชียมาตั้งแต่ปี 1978 และเป็นผู้ร่วมเขียนหนังสือเรื่อง Hello My Big Big Honey! Love Letters to Bangkok Bar Girls and Their Revealing Interviews ซึ่งเป็นหนังสือรายงานข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน ทั้งนี้เว็บไซต์ของเขาคือ www.asia-correspondent.110mb.com. |
|