| เนิ้อหานี้อยู่ในหมวด : พลซุ่มยิงของโซเวียต (รัสเซีย)
พลซุ่มยิงของรัสเซีย (สงครามโลกครั้งที่ 2) | ในสงครามโลกครั้งที่ 2 สหภาพโซเวียต ถือว่าเป็นชาติหนึ่งที่วางแผนการรบ ได้อย่างแยบยล และเจ้าเล่ห์ที่สุด ในช่วงที่เยอรมันยาตราทัพเข้าสู่โซเวียต ในช่วงปี 1941 นั้น โซเวียตยังมิทันได้ตั้งตัว ด้วยสตาลินผู้นำของโซเวียต ไม่เชื่อว่าฮิตเลอร์ จะกล้าบุก เพราะได้ทำสนธิสัญญาไม่รุกรานซึ่งกันและกัน แต่สตาลิน คิดผิด
ฮิตเลอร์ สั่งโจมตีรัสเซีย และกำหนดแผนการ ในชื่อ "ยุทธการ บาบาร์รอสซ่า " ( Operation Babarossa ) ตามชื่อจักรพรรดิเยอรมันในยุคกลาง เดิมแผนนี้จะเริ่มในเดือนพฤษภาคม ปี1941 แต่กลับล่าช้าไปถึงวันที่22 มิถุนายน เนื่องจากการเสียเวลาในการปราบปรามคาบสมุทรบอลข่าน เปรียบเทียบกำลังของเยอรมันกับโซเวียตแล้ว กำลังของเยอรมันและกลุ่มชาติอักษะนั้นเหนือกว่ามาก กองทัพเยอรมันและกลุ่มชาติอักษะมีกำลังพลตามแนวพรมแดนตั้งแต่2,800,000ถึง3,600,000คน ด้านโซเวียต เชื่อว่ามีกำลังพล2,000,000นาย เยอรมันมีรถถัง3,350คัน มากกว่าช่วงการบุกฝรั่งเศส600คัน รัสเซียมี25,000คัน แต่ส่วนมากเป็นแบบล้าสมัย เยอรมันมีเครื่องบิน3,000ลำ รัสเซียมีมากกว่า2เท่า แต่ทั้งหมดล้วนแต่ล้าสมัย
เวลา03.15น. วันที่22 มิถุนายน 1941 กองทัพขนาดมหึมาของเยอรมัน กำลังพลกว่า3,200,000นาย อันประกอบด้วย กองพลทหารราบ 102 กองพล กองพลรถถัง 19 กองพล กองพลเคลื่อนที่เร็ว14กองพล กองพลพิเศษ(ไม่ใช่หน่วยรบพิเศษ ) 5กองพล กองพลทหารม้า1กองพล แบ่งเป็น3กลุ่มกองทัพ เปิดฉากบุกแบบสายฟ้าแลบทั้งสามด้านเข้าสู่รัสเซีย
การบุกรัสเซียนั้น เป็นการบุกแบบสายฟ้าแลบ ทำให้สามารถตัดกำลังทัพรัสเซียได้พินาศย่อยยับได้อย่างรวดเร็ว และยังทำลายขวัญของทหารอีกด้วย ช่วงต้นของการบุก สามารถจับเชลยได้ถึง400,000คนยึดและทำลายยานยนต์ ปืนใหญ่ และอากาศยานอีกจำนวนมากฮิตเลอร์คาดว่าจะพิชิตรัสเซียได้ในเวลา2เดือน แต่เนื่องจากฝ่ายเสนาธิการของเยอรมันไม่ได้คำนึงถึงพื้นที่อันกว้างใหญ่ของรัสเซีย และการเปิดฉากบุกที่ล่าช้าไปถึงสองเดือน ทำให้เยอรมัน ต้องทำสงครามท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายในดินแดนรัสเซีย ซึ่งเยอรมันไม่ได้เตรียมอุปกรณ์สำหรับรบในฤดูหนาวเลย และฝ่ายรัสเซีย ยังทำการย้ายโรงงานอุตสาหกรรมจากแนวหน้าไปยังเทือกเขาอูราล เยอรมันไม่มีเครื่องบินทิ้งระเบิดที่สามารถบินไปทิ้งระเบิดถึงอูราลได้ ทำให้รัสเซียสามารถพื้นฟูความเสียหายทางวัตถุได้อย่างรวดเร็ว
แผนที่แยบยลของสตาลินก็คือ "การรบแบบถ่วงเวลา" โดยการรบแบบสงครามกองโจร ตามซากปรักหักพังต่างๆ ในเมืองสตาลินกราด โดยไม่ยอมให้เยอรมันยึดสตาลินกราดได้ง่ายๆ เป็นการรบระยะปะชั้นชิด เกิดขึ้นทุกมุมตึก ซอกตึก นอกจากนั้นสตาลิน ยังสั่งติดอาวุธให้กับประชาชน รวมทั้งเด็กและสตรี เพื่อต่อต้านเยอรมันในทุกๆพื้นที่ ที่นี่เองที่เกิดวีรบุรุษ และวีรสตรีขึ้นมากมาย โดยเฉพาะหน่วยซุ่มยิงของโซเวียต ที่สร้างปัญหาให้กับเยอรมัน เป็นอย่างมาก ที่รู้จักกันดีที่สุดก็คือ "Mihail Surkov " ซุ้มยิงทหารเยอรมันได้ทั้งหมด 702 คน (รวมทุกพื้นที่ในโซเวียต) พลซุ่มยิงที่เป็นทหารหญิง ฝีมือดีๆก็ยังมีอีกมากมาย และประสิทธิภาพของพลซุ่มยิงโซเวียตเหนือกว่าพลซุ่มยิงของเยอรมันมาก
เหตุผลหนึ่งก็คือ "ความชำนาญพื้นที่" สองก็คือ"ความรู้สึกเคียดแค้นผู้รุกราน" แต่เหตุผลหนึ่งที่มารู้ภายหลังก็คือ ปืนเล็กยาวและกล้องเล็งของโซเวียต มีคุณภาพเหนือกว่าของเยอรมัน ด้วยการทดสอบของรายการสารคดีเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิค ปืนของพลซุ่มยิงของโซเวียตในขณะนั้นก็คือ "ปืนโมซิน นาแกนต์ M44" (Mosin Nagant Rifle)
คุณภาพที่เหนือกว่า ไม่ใช่อยู่ที่ประสิทธิภาพของปืน และกล้อง แต่อยู่ที่เหตุผลบางอย่างก็คือ สารหล่อลื่นในตัวปืนของปืนโมซิน นาแกนต์ มีจุดเยือกแข็งที่สูงกว่าปืนของเยอรมัน นั่นคือ ทนอุณหภูมิต่ำๆได้ดีกว่า ทำให้ปืนติดขัดได้ยากในอากาศหนาว ส่วนกล้องเล็งของพลซุ่มยิงโซเวียตนั้น ก็ออกแบบง่ายๆ ทำให้ปรับศูนย์เล็งได้ไวกว่าของเยอรมันมาก เนื่องจากในสงครามซุ่มยิงนั้น ต้องมีการปรับศูนย์กล้องอยู่ตลอดเวลา เวลาที่เสียไปแต่ละวินาทีนั่นหมายถึงเวลาชีวิตด้วย ด้วยเหตุนี้เองทำให้สถิติการกำจัดศัตรูของโซเวียต จึงเหนือกว่าเยอรมันมาก |
|