เว็บนี้
เน้นให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับประเทศรัสเซีย (ไม่มีการจัดทัวร์) หากมีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยนะครับ
เพราะอยู่ประเทศไทย อีกทั้งไม่ได้เรียนจบจากรัสเซีย เคยไปเที่ยวเท่านั้น!!
:
Trans-Siberian Railway (Транссибирская железная дорога)
รถไฟทรานส์ไซบีเรีย
Trans-Siberian Railway (Транссибирская железная дорога)
สำรวจราคาได้ที่นี่
อย่างที่ทราบกันดีว่าเส้นทางรถไฟสาย Trans-Siberia เป็นเส้นรถไฟที่ยาวที่สุดในโลก จุดเริ่มต้นของเส้นทางสายนี้คือที่สถานีรถไฟ ยาโรสลาฟ( Yaroslavsky Rail Terminal) ในกรุงมอสโกแล้วไปสิ้นสุดที่สถานชานชาลาของสถานีรถไฟวลาดิวาสต็อก( Vladivostok Grand Station) รวมระยะทางทั้งสิ้น 9,288 กิโลเมตร จากทวีปยุโรปผ่านเอเชียและมาสิ้นสุดที่ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ผ่านเขตเวลา 7 เขต ใช้เวลาเบาะๆแค่ 149 ชั่วโมง หรือว่าแค่ 6 คืน 7 วัน ............................
อ่านรายละเอียดต่างๆ จากเว็บไซต์นี้
www.seat61.com
รถไฟทรานส์-ไซบีเรีย : รอสสิยา และ วอสต็อค ไม่ใช่รถไฟท่องเที่ยวนะครับ อย่าเข้าใจว่าเมื่อถึงสถานีต่างๆ เค้าจะพาเราไปท่องเที่ยว Sight Seeing แต่ละเมืองๆ มันแค่วิ่งผ่านไปเฉยๆ มีจอดให้ลงไปยืดแข้งยืดขา ไม่กี่นาทีแล้วก็วิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนถึงปลายทาง นอกจากเราจะซื้อตั่วแวะตามเมืองต่างๆ ค้าง 1 คืน 2 คืน ก็ว่าไป แล้วค่อยไปต่อ ส่วนใหญ่แล้วจะตีตั๋วรวดเดียวจบ และดูบรรยากาศบนรถไฟไปเรื่อยๆ ดังนั้นมันถึงไม่เหมาะกับผู้สูงวัย 7 วันบนรถไฟห้องเล็กๆ นอน 4 คน เตียง 2 เตียง / เตียงละ 2 ชั้น คงไม่สนุกอะไรมากมาย....... สรุปแล้ว ก็เหมือนรถไฟกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ ต่างกันที่ว่ามันวิ่งนานกว่ามากๆ ข้ามทวีปเลย ข้าม 7 ช่วงเวลา
ตารางราคา ต่างกันที่เราซื้อจากที่ไหนครับ
แฟเบร์เช่ (Faberge, Фаберже) เกิดงานศิลป์สุดอลังการ สำหรับทางรถไฟสายนี้
Trans-Siberian Railway Egg
เป็นไข่ซึ่งผลิตขึ้นในปี ค.ศ. 1900 เพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในโอกาสเปิดเส้นทางรถไฟสายใหม่ระหว่าง นครเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ไปยังเมืองวลาดิวอสต็อก ทางชายฝั่งด้านแปซิฟิกของรัสเซีย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนา เปิดสู่ทวีปเอเซียของรัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่ตั้งคาบระหว่างดินแดน 2 ทวีป คือ ยุโรปและเอเซีย แต่เท่าที่ผ่านมาถึงศตวรรษที่ 20 ซาร์ทุกพระองค์มักจะละเลยการพัฒนาดินแดนด้านเอเซียไม่ให้ความสำคัญเท่าๆ ยุโรปทั้งๆ ที่มีขนาดใหญ่มหาศาลและอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาตินานาชนิด
รูปแบบโดยทั่วไป
ฝาทำด้วยเทคนิคเขียนสีลงยา ฝาเป็นสีเขียวโปร่งใสเงา มีลวดลายทองวิ่งโดยรอย ภายในลวดลายเขียนสีลงยาเป็นสีน้ำเงิน ส่วนบนจุกฝาเปิด ทำด้วยทองคำเป็นรุปนกอินทรีย์ 2 หัว แผ่ปีกสยาย บนหัวครอบด้วยมหามงกุฏของโรมานอฟ ส่วนตัวไข่ทำด้วยเงินขัดเงา วาดลวดลายเป็นแผนที่ของเส้นทางขบวนรถไฟสานทรานส์-ไซบีเรีย และมีอักษรจารึกไว้ว่า " The route of the Grand Siberian Railway in the year 1900 " ส่วนฐานทำด้วยหินอ่อนเป็นขั้นบันใดทรงสามเหลี่ยมมีมุมเว้าทั้งสามด้าย มีการปักลายทองลงบนฐานโดยรอย ด้านบนมีสุนัขกริฟ-ฟินโรมานอฟ (Romanov Griffins) 3 ตัวยืนแบกตัวไข ทั้ง 3 ตัวทำด้วยทองถือโล่และดาบ ไข่ส่วนล่างทำด้วยเทคนิคเขียนสีลงยาเหมือนด้านบน ส่วนรถไฟมีอัตราส่วนที่ถูกต้องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มีครบหมดตั้งแต่หัวจักรไปจนถึงโบกี้ ทำด้วยทองคำ
หากเรามองดูเผินๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่จริงๆ แล้วตัวรถไฟที่วางอยู่ข้างหน้านั้น สัดส่วนและรายละเอียดครบ อีกทั้งสามารถพับได้ และใส่ลงไปในไข่เพื่อจัดเก็บแล้วปิดฝา เมื่อจะใช้ก็เปิดไข่บิดกุญแจ รถไฟก็จะดีดตัวขึ้นมา ในสมันนั้นเทคนิคขั้นตอนในการทำนั้น ไม่มีที่ไหนทำได้นอกจากโรงงานของแฟร์เบเชเท่านั้น เขาจึงได้เป็นนายช่างแห่งซาร์ของรัสเซีย รับพระราชดำรัสในการจัดทำไข่ในทุกๆ ปี
น่าเสียดายบั้นปลายของนายช่างแฟร์เบเช่
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง วันที่ 19 กันยายน 1918 (พ.ศ. 2461) กลุ่มนายทหารพร้อมปืนไรเฟิลในมือได้เดินทางมาถึงบ้านของเขา หลังจากทุบประตูบ้านอยู่นาน จนเจ้าของบ้านต้องเปิดประตูรับ นายทหารคนหนึ่งได้ยื่นนามบัตรที่แสดงตนว่าเป็นตำรวจลับ (Chekha) ซึ่งได้รับบัญชาจากพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ให้นำตัวเขาไปเข้าเฝ้า เขาจึงขอเวลาแต่งตัวและบอกให้ทหารลับคอยที่ห้องโถง ส่วนเขาได้หลบหนีออกทางหลังบ้าน 2 วันต่อมาเขาเดินทางมาถึงเมืองริกาในลัตเวียโดยใช้พาสปอร์ตปลอมที่เพื่อนชาว อังกฤษทำให้ เขาทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในรัสเชีย ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติ ฐานะสังคม และชื่อเสียงเพื่อไปตาย (อย่างโดดเดี่ยวในโรงแรม) ในอีก 2 ปีต่อมาที่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย (Trans-Siberian)
ประวัติทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย การ เดินทางด้วยรถไฟในทวีปยุโรป นั้นสะดวกสบายมาก เพราะทางรถไฟในยุโรปเชื่อมต่อกันถึงกันทุกประเทศ ดังนั้นหากจะนั่งรถไฟจากกรุงมอสโกว์ไปยัง กรุงเบอร์ลิน ลอนดอน ปารีสหรือเมืองอื่นๆ ก็สามารถทำได้ง่าย และเป็นเรื่องปกติของชาวยุโรปที่จะเดินทางไปไหนมาไหนโดยทางรถไฟเสียส่วนมาก เพราะรถไฟในยุโรปมีความปลอดภัยสูงมาก อีกทั้งยังมีความเร็วสูง สะอาด และตรงเวลามาก ในสมัยปลายศตวรรษที่ 19 มีการค้าขายในย่านเอเซียตะวันออกกันอย่างมาก ญี่ปุ่น, อังกฤษ และอเมริกา ก็ได้มาตั้งเขตเช่าของตนในประเทศจีนกันแล้ว และเขตไซบีเรียก็อยู่ห่างจากกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ขนาดทหารม้าคอสแซก และบรรดาม้าเร็ว นั่งเลื่อน และขี่ม้าตามถนนดิน จากไซบีเรียมาเมืองหลวงต้องใช้เวลา1ปีขึ้นไป ทำให้ทหารม้าคอสแซ็กเหล่านี่อยู่เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เป็นอันตรายต่อจักรวรรดิรัสเซียอย่างยิ่ง
ดังนั้นพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่3 มีพระบรมราชนุมัติให้สร้างทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย เชื่อมเมืองท่าวลาดิวอสต็อกซึ่งใช้ได้ตลอดปี กับนครมอสโคว์(มอสควา)และ กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กขึ้น โดยให้ซาเรวิชนิโคไลอเล็กซานโดรวิช(พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2) เสด็จฯ วางศิลาฤกษ์ที่วลาดิวอสต็อก เมื่อเวลา 10 นาฬิกาของวันที่ 19 พฤษภาคม 1891 (พ.ศ. 2434) หลังจากมีพระราชดำริให้สร้างทางหลังจากที่ได้รับใบบอกจากบรรดาผู้ว่าราชการ จังหวัดในเขตไซบีเรียว่ามีความยากลำบากเพียงไหน การสร้างทางรถไฟสายนี้ได้ใช้โดยใช้เงินกู้ฝรั่งเศสสร้างขึ้น และระดมบรรดานักโทษการเมือง ทหาร ชาวไร่ชาวนา คนงานรถไฟ หลายงวด บางงวดถึงเกือบแสนคน (89000 คน) มาสร้างทางนี้ได้
ถ้าคิดรวมๆ ก็หลายแสนคน สะพานเล็กๆ ก็ใช้ไม้สนในป่าสร้างเอา แต่สะพานใหญ่ต้องขนเหล็กและเครื่องมือโดยใช้เลื่อนไปตามถนนดิน และ เรือ ขนส่งวัสดุและอุปกรณ์ไปให้คนงาน เป็นที่น่าเสียดายที่ข้อมูลงบประมาณการซ่อมสร้างทางรถไฟในช่วงคอมมิวนิสต์ นั้นเชื่อถือได้ยาก ที่น่าเชื่อถือได้ก็สมัยพระเจ้าซาร์ แม้ว่าจะมีการคอรัปชั่นงบประมาณไปบ้างก็ตาม
พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 และพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 (พระราชโอรส)
สมัยพระเจ้าซาร์นั้น ต้องใช้งบและเงินกู้สร้างทางดังนี้
1) ในแดนรัสเซียไป 526,832,000 รูเบิลทองคำ
2) สายผ่านแมนจูเรียไป 410,388,000 รูเบิลทองคำ
3) สายใหม่ที่เลี่ยงเมืองจีน 518,193,000 รูเบิลทองคำ
รวมเบ็ดเสร็จ (พร้อมค่าใช้จ่ายนอกรายการ): 1,455,413,000 รูเบิลทองคำ (เหรียญ 15 รูเบิลทองคำ (1 Imperial) สมัยนั้น แลกเงินฝรั่งเศสได้ 40 ฟรังก์ทองคำ และเงินบาทตราอาร์มได้ 20 บาทซึ่งเท่ากับเงินเดือนข้าราชการชั้นเสมียน) ขณะนั้นรัสเซียมีทางรถไฟจากกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิรก์ไปถึงเอกาเตรินเบิร์ก (เมืองในเขตไซเรียซึ่งเป็นที่ปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์นิโคลัส และ พระราชวงศ์) ตั้งแต่ปี 1878(พ.ศ. 2421) จึงได้มีขยายทางไปตะวันออก ถึงเมือง Omsk ปี 1894 ถึง Irkuts และทะเลสาบไบคาล ถึงเมืองวลาดิวอสต็อกเมื่อ 1901 (พ.ศ. 2444) แต่กระนั้นผู้โดยสารต้องนั่งเรือกลไฟตัดน้ำแข็ง ข้ามทะเลสาบไบคาล กว่าจะมีทางรถไฟลัดเลาะทะเลสาบได้ก็ 18 กันยายน (1 ตุลาคม) 1904 (2447)อย่างไรก็ตาม, เส้นทางดังกล่าวต้องผ่านแดนจีน (มณฑลเฮยหลงเจียง - แมนจูเรีย) ซึ่งได้ก่อความยุ่งยากในการส่งกำลังบำรุงเมื่อเกิดสงครามกับญี่ปุ่น ปี 1905 ซึ่งคราวนั้นกองทัพรัสเซียพ่ายกองทัพญี่ปุ่นอย่างยับเยิน แต่ญี่ปุ่นก็กระสุนดินดำเกือบหมดประเทศ ทำให้พระเจ้าซาณ์นิโคลัสที่ 2 มีพระบรมราชานุมัติให้สร้างเส้นทางสายใหม่ที่ไม่ผ่านเข้าแดนจีนเมื่อปี 1907 กว่าจะได้สายไปวลาดิวอสต้อกโดยไม่ผ่านแดนจีน (สายร็อสซียา - ผ่านคาบาร็อฟสก์) ก็วันที่ 5 ตุลาคม (18 ตุลาคม), 1916 (พ.ศ. 2459) ขณะที่รัสเซียกำลังติดพันสงครามโลกครั้งที่1อยู่ งานชิ้นสุดท้ายที่ทำสำเร็จคือการสร้างสะพานข้าแม่น้ำอาร์มูร์ (Armur) ยาว 3 กิโลเมตร ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-18) และ สงครามกลางเมืองรัสเซีย (1918-1921), ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียอยู่ในสภาพเสียหายยับเยิน สะพานใหญ่อย่าง Irtysh และ Amur ขาดกลาง ท่านผู้นำเลนินเลยมีบัญชาให้ซ่อมแซมทางรถไฟและสะพาน กว่าจะเปิดใช้งานได้ใหม่ก็เดือนมีนาคม 1925
ในสมัยคอมมิวนิสต์นั้น, ได้มีการออกงบประมาณให้กระทรวงรถไฟรัสเซียซ่อมสร้างทางไฟสายทรานส์ไซบิเรียดังนี้
1) ซ่อมทางรถไฟให้ใช้การได้ (1922 - 1925),
2) ฟื้นฟูเส้นทาง และ สร้างทางคู่ขนานให้เป็นระบบรางคู่ ตามแผน 5 ปี (1932 - 1937),
3) ติดตั้งระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ายกแรก (1952 - 1963)
4) ติดตั้งระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ายกที่ 2 (1979 - 1991)
โปสเตอร์ภาพยนต์ Trans-Siberian
ในสมัยคอมมูนิสต์ได้มีการสร้างทางรถไฟไปปักกิ่งสายใหม่ที่ตัดผ่านมองโกเลีย เริ่มสร้างแต่ปี 1940 มาเสร็จเอาก็ปี1956 (2499)
ในปัจจุบัน รถไฟสายทรานส์ไซบีเรียที่ไปจากวลาดิวอสต็อก ไปสุดที่สถานี Yaroslavski (มีรถไฟใต้ดินสายสีแดงผ่าน) ในกรุงมอสโคว์มีTerminal หลายแห่ง เช่นที่ Byelorruski สำหรับรถไฟจากกรุงเบอร์ลิน ผ่านประเทศรัสเซีย, สถานี Leningradski Vokzal สำหรับรถไฟจากกรุงมอสโคว์ไปนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (รถไฟสาย Krasnaya Strela หรือรถไฟสายธนูแดง) ทุกสถานีมีรถไฟใต้ดินมอสโคว์อันลือชื่อผ่านทั้งสิ้น
ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย ถือ ว่าเป็นหัวใจหลักของระบบรถไฟรัสเซีย ที่ขนทั้งสินค้าและผู้คน เส้นทางนี้เริ่มติดตั้งระบบไฟฟ่าขับเคลื่อนเมื่อปี 1929 (พ.ศ. 2472) ตามแผนพัฒนา 5ปี ฉบับแรกของจอมเผด็จการสตาลิน ในตอนแรก (1929-1959) ก็ใช้ไฟตรง 3 KV แต่เปลี่ยนมาใช้ไฟสลับ 25 KV ที่เปลืองกระแสน้อยกว่าและส่งได้ไกลกว่าเมื่อปี 1959 แต่กว่าจะใช้ระบบไฟฟ้า 25 KV ครบทั้งเส้นทางก็ วันที่ 25 ธันวาคม 2002 สมัยประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ปูติน
ปัจจุบันสายเก่าคือทางรถไฟสาย ปักกิ่ง-มอสโคว์ ผ่านแมนจูเรียหรือทรานสแมนจูเรีย สายที่ตัดผ่านแดนจีนเป็นสายที่ช่วยให้จีนมีรายได้มาใช้หนี้สงครามกับญี่ปุ่น
การเดินทางโดยรถไฟ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่รักการเดินทางและท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก และการเดินทางโดยรถไฟนั้นกินเวลาพอสมควร ดังนั้นควรเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ เพราะระหว่างเดินทางต้องอยู่ภายในขบวนรถไฟเป็นเวลาหลายวัน
นั่งรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียต่อไปยังกรุงมอสโกว์ประเทศรัสเซีย ใช้เวลาเดินทั้งหมด 6 วัน
เมื่อถึงกรุงมอสโคว์ก็สามารถเดินทางต่อไปที่ไหนก็ได้ในยุโรปโดยทางรถไฟ หากรวมระยะเวลาทั้งหมด จากกรุงเทพถึงมอสโคว์ ก็ประมาณ 10 - 11 วัน ซึ่งถือว่าค่อนข้างนาน แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีมาก เพราะขณะที่ขบวนรถวิ่งไปตามสถานที่ต่างๆ เราก็จะเห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่นในแถบนั้น ซึ่งส่วนนี้เองทำให้รถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย เป็นที่นิยมมาก ในหมู่นักท่อง เที่ยวชาวยุโรป, อเมริกัน, รัสเซีย และคนจีน ซึ่งคนจีนมองว่าเป็นการเดินทางที่ประหยัดกว่าเครื่องบิน และคนรัสเซียมองว่ารถไฟปลอดภัยกว่าเครื่องบินมาก
เนื่องจากมีผู้ใช้บริการรถไฟดัง กล่าวเป็นจำนวนมาก ทั้งชาวเวียดนาม ชาวจีนและ นักท่องเที่ยวต่างชาติอีกมากมาย จึงต้องจองที่นั่งไว้ล่วงหน้าเสียก่อนที่จะโดยสารไปกับขบวนรถนั้นๆ และก่อนเดินทางออกจากประเทศไทยต้องติดต่อเรื่องขอวีซ่าให้เรียบร้อยเสียก่อน ได้แก่ วีซ่าจีน ลาว เวียดนาม มองโกเลีย รัสเซีย หรือวีซ่าเชงเก้น จะทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น
ข้อมูลจาก : bangkok-guide
ข้อมูลคร่าวๆในการเดินทางสู่ยุโรปโดยรถไฟ
เริ่มต้นที่สถานีรถไปกรุงเทพฯ (หัวลำโพง)
เดินทางโดยรถไฟจากกรุงเทพสู่จังหวัดหนองคาย ซึ่งติดอยู่กับชายแดนฝั่งประเทศลาว นอนในรถ 1 คืน เมื่อถึงสถานีหนองคายจึงเดินทางต่อไปยังประเทศลาวผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แล้วขึ้นรถโดยสารประจำทางต่อไปยังกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ซึ่งมีระยะทางประมาณ 250 กิโลเมตร(เทียบเท่ากรุงเทพ-โคราช) เมื่อถึงเวียดนามสามารถเที่ยวกรุงฮานอยได้ 1-2 วัน จากนั้นจึงเดินทางต่อโดยรถไฟจากฮานอยไปยังกรุงปักกิ่ง โดยการรถไฟประเทศเวียดนาม รถไฟของเวียดนามสะอาด และสะดวกสบายมาก เมื่อถึงเขตชายแดน Dang Dong ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนประเทศจีน จะมีการตรวจวีซ่าและหนังสือเดินทางเป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงเดินทางข้ามเขตแดนไปยังฝั่งประเทศจีน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 วัน รวมระยะทาง 2,966 กิโลเมตร
เมื่อขบวนรถไฟถึงกรุงปักกิ่ง ก็อาจจะหาที่พักในกรุงปักกิ่งเป็นเวลา 2-3 คืนเพื่อเที่ยวกรุงปักกิ่ง หลังจากนั้นจึงนั่งรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียต่อไปยังกรุงมอสโกว์ประเทศรัสเซีย ใช้เวลาเดินทั้งหมด 6 วัน
เมื่อถึงกรุงมอสโคว์ก็สามารถเดินทางต่อไปที่ไหนก็ได้ในยุโรปโดยทางรถไฟ หากรวมระยะเวลาทั้งหมด จากกรุงเทพถึงมอสโคว์ ก็ประมาณ 10 - 11 วัน ซึ่งถือว่าค่อนข้างนาน แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีมาก เพราะขณะที่ขบวนรถวิ่งไปตามสถานที่ต่างๆ เราก็จะเห็นสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่นในแถบนั้น ซึ่งส่วนนี้เองทำให้รถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย เป็นที่นิยมมาก ในหมู่นักท่อง เที่ยวชาวยุโรป, อเมริกัน, รัสเซีย และคนจีน ซึ่งคนจีนมองว่าเป็นการเดินทางที่ประหยัดกว่าเครื่องบิน และคนรัสเซียมองว่ารถไฟปลอดภัยกว่าเครื่องบินมาก
เนื่องจากมีผู้ใช้บริการรถไฟดัง กล่าวเป็นจำนวนมาก ทั้งชาวเวียดนาม ชาวจีนและ นักท่องเที่ยวต่างชาติอีกมากมาย จึงต้องจองที่นั่งไว้ล่วงหน้าเสียก่อนที่จะโดยสารไปกับขบวนรถนั้นๆ และก่อนเดินทางออกจากประเทศไทยต้องติดต่อเรื่องขอวีซ่าให้เรียบร้อยเสียก่อน ได้แก่ วีซ่าจีน ลาว เวียดนาม มองโกเลีย รัสเซีย หรือวีซ่าเชงเก้น จะทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น
ที่มาข้อมูล : seat61.com
จุดเมืองสำคัญๆ ที่เส้นทาง
8. Moscow
7. Kazan
6. Yekaterinburg
5. Novosibirsk
4. Irkutsk & Lake Baikal
3. Ulan Ude
2. Ulaanbaatar
1. Vladivostok
รถไฟทรานส์ไซบีเรีย รอสสิยา " Rossiya " และ รถไฟทรานส์ไซบีเรีย วอสต็อค " Vostok "
Rossiya = มอสโก - วลาดิวอสต็อก (Moscow-Vladivostok)
Vostok = มอสโก - ปักกิ่ง (Moscow-Beijing)
เป็นขบวนหลักที่ใช้กัน เนื่องจากราคาถูก การบริการก็อย่าหวังอะไรให้มาก อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตน คิดไว้แบบนี้ก็สะบายใจ
ศึกษาได้จากเว็บไซต์นี้
ภาพรายละเอียดต่างๆ ของ Rossiya
Moscow-Vladivostok ' Rossiya '
จากสถานี ยาโรสลาฟสกี้ (Yaroslavski station)
ถึงสถานี วลาดิวอสต็อก (Vladivostok station)
ป้ายชื่อขบวน Rossiya และภายในรถไฟ
ยาโรสลาฟสกี้ (Yaroslavsky station) กรุงมอสโก
สถานีรถไฟวลาดิวอสต็อก (Vladivostok station)
สถานีรถไฟปักกิ่ง (Beijing's huge main station)
ทะเลสาบไบคาล ตั้งอยู่ทางใต้ของเขตไซบีเรีย มันโด่งดังจากการที่เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ลึกที่สุดในโลก โดยระดับความลึกสูงสุดอยู่ที่ 1,637 เมตร และเป็นแหล่งเก็บกักน้ำจืดใหญ่ที่สุดในโลก โดยประมาณแล้ว น้ำจืดบนพื้นผิวโลกจำนวน 20 เปอร์เซ็นต์ มารวมกันอยู่ที่ไบคาล แม้ว่าพื้นผิวของทะเลสาบจะมีอยู่แค่ 31,500 ตารางกิโลเมตร ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของทะเลสาบสุพีเรียร์ หรือทะเลสาบวิคตอเรีย และจริงๆแล้วปริมาณน้ำจืดของไบคาล ก็มากกว่าน้ำจืดของทะเลสาบที่ยิ่งใหญ่ในอเมริกาเหนือทุกแห่งรวมกันเสียอีก
ความ ยาวของทะเลสาบรูปพระจันทร์เสี้ยวแห่งนี้คือ 636 กิโลเมตร แต่จุดที่กว้างที่สุด กลับมีอยู่แค่ 80 กิโลเมตรเท่านั้น ไบคาลมีเกาะ 22 เกาะ โดยเกาะที่ใหญ่ที่สุด ยาว 72 กิโลเมตร
แถบ ทะเลสาบไบคาล เป็นที่อยู่อาศัยของพันธุ์พืช 1,085 สายพันธุ์ และสัตว์ 1,550 สายพันธุ์ และ 2 ใน 3 ของจำนวนดังกล่าว ไม่พบในที่อื่นใดในโลก ไบคาล เป็นที่อยู่อาศัยของแมวน้ำน้ำจืด 1 ในเพียง 3 สายพันธุ์ที่มีอยู่ในโลก
ยูเนสโก ประกาศให้ทะเลไบคาล เป็นมรดกโลกเมื่อปี 1996
ไบ คาลเป็นทะเลสาบโบราณ มีอายุราว 25 - 30 ล้านปี และก็ถือกันว่าเป็นหนึ่งในทะเลสาบยุคโบราณที่สุดในทางธรณีวิทยา (อายุเฉลี่ยของทะเลสาบโลกอยู่ที่ 10 - 15 ล้านปี ) แต่โลกเพิ่งจะรู้จักมันดีแค่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง คือในช่วงที่การก่อสร้างทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย เดินทางมาถึงที่นี่ในราวปี 1896 - 1902 เมื่อคณะนักสำรวจต้องเข้ามาทำแผนที่ความลึกของทะเลสาบ และก็เป็นครั้งนั้นเองที่รัสเซีย ได้พบกับความพิเศษของมัน กับการที่มันเป็นแหล่งเก็บกักน้ำจืดมากถึง 23,600 ลูกบาศก์กิโลเมตร หรือ 1 ใน 5 ของทั้งโลก
ทะเลสาบแห่งนี้ จริงๆแล้วก็คือหุบเขาที่เกิดจากการแยกตัวกันของเปลือกโลก ก้นทะเลสาบอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 1,285 เมตร แต่ถัดจากนั้นลงไปเป็นระยะทางถึงราว 7 กิโลเมตร ( หรือ 8 - 9 กิโลเมตรจากผิวน้ำ ) ก็คือชั้นตะกอน จึงถือได้ว่า นี่คือหุบเขาที่ลึกที่สุดในโลก
ใน ทางธรณีวิทยา หุบเขาแห่งนี้ค่อนข้างใหม่ จึงยังมีความเคลื่อนไหวอยู่มาก อย่างเช่นในแต่ละปี มันจะแยกตัวออกจากกันราว 2 เซ็นติเมตร แผ่นดินไหว และน้ำพุร้อน ก็พบได้ในหลายเขตของแถบนี้
เคย มีการเก็บเอาตัวอย่างตะกอนของไบคาลมาศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก ย้อนไปไกลถึงเมื่อ 250,000 ปีก่อน และในเร็วๆนี้ก็จะมีการเก็บตะกอนในระดับที่ลึกมากกว่าเดิม เพื่อให้สามารถศึกษาย้อนหลังกลับไปได้ไกลมากกว่าเดิม
ทรัพยากร น้ำจืดของไบคาล ได้มาจากแม่น้ำลำคลองรวม 330 สายที่ไหลลงมาที่นี่ ขณะเดียวกัน น้ำจากไบคาล ก็ไหลออกไปยังแม่น้ำสายเดียวคือ อันการ่า ที่ไหลลงแม่น้ำ เยนิเซ
แม้ว่าทะเลสาบจะลึกมาก แต่ระบบการหมุนเวียนของออกซิเจนในทะเลสาบ ก็ดำเนินไปเป็นอย่างดี สัตว์และพืชในน้ำจึงอยู่กันได้สบาย
แต่ เดิม ไบคาลคือธรรมชาติอย่างแท้จริง เพราะมีโรงงานมาตั้งอยู่ที่นี่แค่โรงเดียว แม้จะปล่อยน้ำเสียลงมาไม่น้อย แต่ไบคาลก็ยังสามารถรับได้ แต่เมื่อคนรัสเซียมีเงินมากขึ้น นักธุรกิจก็มีแผนมาตั้งโรงแรมหรูในแถบนี้ ก็ทำให้หลายคนเริ่มเป็นห่วงมากขึ้น
บริษัท น้ำมันรัสเซียก็เคยมีแผนจะวางท่อน้ำมันห่างจากเขตทะเลสาบแค่ 800 เมตร ซึ่งก็ทำให้หลายฝ่ายหวาดเสียว หากว่าท่อเกิดแตกขึ้นมา บรรดาสัตว์และพืชที่ไบคาล ซึ่งหาในที่อื่นใดไม่ได้อีกแล้วในโลก อาจจะเป็นอันตราย ประธานาธิบดีปูติน เลยสั่งให้ย้ายแนวท่อให้ห่างออกไป 40 กิโลเมตร
ขบวนรถไฟ (Rossiya : Moscow - Lake Baikal - Vladivostok) จอดให้นักท่องเที่ยวชมวิว ถ่ายภาพ ริมฝั่งทะเลสาบไบคาล สถานีที่แวะจอดนี้มีชื่อว่า Kirkirey
หมู่บ้านเล็กๆ ที่หุบเขาแถวๆ ทะเลสาบไบคาล
The World's Most Luxurious Trains
Europe, Asia
Luxury service on this historic route began in April 2007, with passengers traveling on 12 brand-new sleeping cars outfitted with such extras as DVD players and under-floor heating. In the dining room, chefs serve regional specialties such as borscht and omul—a fish unique to the waters of Lake Baikal—and, of course, caviar and vodka. The trip between Moscow and Vladivostok takes 15 days and includes a foray into Mongolia. The cost ranges from $7,495 per person to as much as $22,195 in a top-of-the-line suite.
ดูเว็บไซต์ที่นี่เลยจ้า
เอามาให้ดูเฉยๆ น่าอิจฉาจริงๆ คนมีเงินถุงเงินถัง ดูราคาครับ ต่างกันมากมาย หรูสุดๆ นี่คือรถไฟนะครับ
แผนที่แสดง กิโลเมตรและแสดงโซนเวลา
ขบวน Rossiya 9,289 กิโลเมตร
ผ่าน 7 ไทม์โซน
สถานีหลักๆ ของ Russia
List of major stations listed in order from west to east
* 2058000 Kaliningrad (Калининград)
* 2004000 St Petersburg (Санкт-Петербург)
2004001 St Petersburg - Glavnyi Station (Санкт-Петербург (Главный вокзал))
2004004 St Petersburg - Finliandskii Station (Санкт-Петербург (Финляндский вокзал))
* 2000000 Moscow (Москва)
2000002 Moscow - Yaroslavskij Station (Москва (Ярославский Вокзал))
2000003 Moscow - Kazanskij Station (Москва (Казанский Вокзал))
2000006 Moscow - Bieloruskij Station (Москва (Белорусский Вокзал))
* 2060001 Nizhny Novgorod (Нижний Новгород) - often listed as Gorki (Горький)
* 2060500 Kazan (Казань)
* 2030000 Ekaterinburg (Екатеринбу́рг) - often listed as Sverdlovsk (Свердловск)
* 2044001 Novosibirsk (Новосибирск)
* 2028170 Tomsk (Томск)
* 2038001 Krasnoyarsk (Красноярск)
* 2054052 Severobaikalsk (Северобайкальск)
* 2054001 Irkutsk (Иркутск)
* 2054785 Ulan Ude (Улан-Удэ)
* 2034001 Khabarovsk (Хабаровск)
* 2034130 Vladivostok (Владивосток)
เป็นการเดินทางที่มาราธอนจริงๆ ดังนั้นจึงควรเตรียมสภาพร่างกายให้พร้อม หากมีโรคประจำตัวอย่าลืมเตรียมยาไว้ให้พอ หากเป็นภูมิแพ้หรือแพ้อากาศ ไม่แนะนำให้เดินทางแบบนี้ เพราะเสี่ยงต่ออาการกำเริบได้
การเดินทาง จะไปขึ้นที่ปักกิ่งหรือวลาดิวอสต็อกก็ได้ / ไปขึ้นที่กรุงมอสโกก็ได้แล้วแต่แผนการท่องเที่ยวของแต่ละท่าน
ศึกษาข้อมูลของเมืองต่างๆ ที่ขบวนรถไฟผ่าน ได้ด้านล่างนะครับ
ทะเลสาบไบคาล...... ไข่มุกแห่งไซบีเรีย (เล่าต่อ)
สุดยอดของไซบีเรีย คือ ทะเลสาบไบคาล โอเซโร ทะเลสาบที่ลึกที่สุดในโลก มนต์สเน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักวิทยาศาสตร์ให้มาเยือนสักครั้งในชีวิต ชื่อ ไบคาล มาจากคำว่า "ใบกุล" ในภาษาเติร์ก แปลว่า "ทะเลสาบอันอุดม" ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกแล้ว โดยองคืการยูเนสโก
ทะเลสาบไบคาล มีน้ำไส ล้อมรอบด้วยเทือกเขาและป่าไทก้า เป็นดินแดนที่เราสามารถพบพืชและสัตว์นานาชนิดที่หาที่อื่นไม่ได้ เพราะเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์มาก
ขนาดของทะเลสาบไบคาล ว่ากันว่ามีขนาดใกล้เคียง กับประเทศเบลเยี่ยม มีเนื้อที่ 32,000 ตารากิโลเมตร ลึกกว่า 1,637 เมตร เก็บกักน้ำจืดไว้ถึง 1 ใน 5 ของปริมาณน้ำจืดทั่วโลก น้ำในทะเลสาบไบคาลมาจากแม่น้ำกว่า 300 สาย แต่ไหลออกสายเดียวกัน คือ อันการา ทุกปีน้ำในทะเลสาบจะจับตัวแข็งหนา 10 เมตร นานถึง 5 เดือน
สิ่งมีชีวิตในทะเลสาบไบคาล
เนปาร์ หรือ แมวน้ำไบคาล เป็นสัตว์คู่ทุกข์คู่ยากของทะเลสาบแห่งนี้ ลำตัวสีเทา ว่ากันว่า ในยุคน้ำแข็งยุคสุดท้ายละลายลง พวกมันพยายามปรับตัวให้เข้ากับน้ำจืด ปัจจุบันแมวน้ำไบคาล เป็นสัตว์คุ้มครอง ยังยังอนุญาติให้ล่าเอาหนังและไขมันได้ ปีละ 6,000 ตัว
ยังมีปลาอีกมากมาย มากกว่า 50 ชนิดที่นี่ แต่มีที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ โกโลเมียนกา ซึ่งอาจอยู่ลึกลงไปใต้ผิวน้ำถึง 1.5 กิโลเมตร เป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัว ส่วนปลาสเตอร์เจียนไบคาล มีราคาสูงมาก เพราะเมื่อโตเต็มที่จะให้ไข่คาร์เวียถึง 9 กิโลกรัม อีกทั้งยังมีปลาโอมุน ในตระกูลปลาแซลมอนที่เป็นเมนูพิเศษของถิ่นนี้
เมืองอีร์คุตสต์ / Irkutsk (Иркутск)
เมืองอีร์คุตสค์ มีประชากร 600,000 คน จัดว่าเป็นเมืองน่าเที่ยวและมีความพร้อมรับนักท่องเที่ยวที่สุดในไซบีเรีย เป็นจุดตั้งต้นในการออกไปเที่ยวทะเลสาบไบคาล อีร์คุตสค์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอันการา เหนือปลายใต้สุดของทะเลสาบขึ้นไปราว 30 นาทีโดยรถยนต์
อีร์คุตสค์ ถูกตั้งขึ้นโดยเหล่าทหารคอสแซกรัสเซีย เมื่อปี 1662 เป็นชุมทางสู่มองโกเลียและจีนเพื่อเป็นเมืองเนรเทศ ที่โด่งดังที่สุดคือพวกกบฏดีเซมบริสต์ ที่ก่อรัฐประหารล้มซาร์ในเดือนธันวาคม 1852 แต่ไม่สำเร็จ มีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับการกบฏโดยเฉพาะตั้งอยู่ที่ บ้านเคาต์เซร์เกย์ โวลโคนสกี, เลขที่ 10 ถนนเปริอูลัค โวลโคนสกายา
อีร์คุตสค์ เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมทางทหารอยู่หลายปี เมื่อสิ้นสงครามเย็นจึงต้องปรับตัวครั้งใหญ่ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลายเป็นความหวังที่จะซุบชีวิตภูมิภาคที่ซบเซาแห่งนี้ การค้าขนสัตว์เป็นะุรกิจหลัก โรงงานขนาดใหญ่ของอีร์คุตสค์ได้แก่ โรงงานฟอกหนัง โรงงานรองเท้า และโรงงานขนสัตว์ อุตสาหกรรมผลิตอื่นๆ ก็มี เช่น เครื่องจักรกลหนัก ไม้ซุง และวัสดุก่อสร้าง ผู้คนที่นี้มีทั้งรัสเซียและชนชาติอื่นๆ เช่น ชสวบุเรียตร้อยละ 20 ซึ่งเป้นลูกหลานของมองโกเลีย นับถือพุทธที่ตั้งรกราก ณ ริมฝั่งทางทิศใต้ของทะเลสาบไบคาล ตัวเมืองในปัจจุบันขยายคลอบคลุมสองฝั่งแม่น้ำอันการา แต่ศูนย์กลางเศรษฐกิจและประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตก ใจกลางเมืองเต็มไปด้วยตึกคอนกรีตสูงยุคโซเวียต และอนุสรณ์สถาน ที่ระลึกมหาสงครากู้ชาติ (สงครามโลกครั้งที่ 2 ) ในเขตรอบนอกยังคงมีบ้านโครงไม้และอิซบา ไม้ซุงแบบรัสเซียแท้ให้เห็น
เมืองอูลัน-อูเด / Ulan Ude (Улан-Удэ)
ด้านตะวันออกของทะเลสาบไบคาล คือ เมืองหลวงของสาธารณรัฐบูเรียตเตีย เคยเป็นเมืองปิดสำหรับชาวต่างชาติ จนถึงปี 1988 อาจกล่าได้ว่า ไม่มีเมืองใดของรัสเซียในวันนี้สะท้อนความหลากหลายของชาติได้ดีไปกว่าที่นี่ ภาษาและวัฒนธรรมบูเรียตที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับมองโกเลีย เกือบต้องสาบสูญในยุคของโซเวียต ทุกวันนี้แม้ประชากรครึ่งหนึ่งเป็นชาวบูเรียต แต่น้อยคนที่จะพูดภาษาบุเรียตได้ คนหนุ่มสาวในปัจจุบันเริ่มมาสนใจพุทธศาสนา แม้องค์ดาไลลามะ ก็เคยเสด็จเยือนอูลัน-อูเด เพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนทัศนะคติของชาวบูเรียต
เมืองอูลัน-อูเด ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเซเลนกา ที่ไหลคดเคี้ยวผ่านมองโกเลียลงสู่ทะเลสาบไบคาล สภาพน้ำเต็มไปด้วยมลพิษ ทางใต้ของเมืองเป็นทะเลทรายทอดยาวจรดชายแดนมองโกเลีย ทางเหนือมีแนวเขาพาดประชิดฝั่งทิศใต้ของทะเลสาบ ตัวเมืองวางผังแบบโซเวียต ณ จตุรัสกลางเมืิองที่เป็นลานยางมะตอยโล่งกว้าง มีรูปปั้นศรีษะเลนินที่น่าจะเป็นอันที่มหึมาที่สุดในโลก เขตชานเมืองพบเห็นบ้านไม้ทั่วไป เป็นมรดกจากยุคที่เคยเป็นเมืองชายแดนของทหารคอสแซก
เมืองอูลัน-อูเด แดนพุทธ / Ulan Ude (Улан-Удэ) Buddhist Temple
สถานที่ที่สำคัญของเมืองอูลัน-อูเด คือ
อีโวลกินสค์ ตัตซัน Ivolginsky datsan (Иволгинский Дацан) ห่างจากตัวเมืองไปทางตะวันตก 30 กิโลเมตร ที่นี่คือ สำนักพุทธแห่งรัสเซียที่สร้างขึ้นในทศวรรษที่ 1960 เพื่ออวดให้โลกเห็นว่าสหภาพโซเวียตใจกว้างยอมรับความแตกต่างทางศาสนา
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นการตบตาทั้งสิ้น KGB ได้ส่งเจ้าหน้าที่หน่วยหนึ่งไปยังเมืองอูลานบาตอร์ของมองโกเลีย เพื่อความคุ้นเคยกับแนวปฏิบัติของศาสนาพุทธให้มากพอที่จะเปิด ตัดซัน นี้ขึ้นได้
เจ้าหน้าที่ KGB พักอยู่บน ดาซา (บ้านนอกเมือง) หลังโตบนเขา ทุกวันมีรถลีมูซีนยี่ห้อซีลขับพาไปวัด
ครั้นถึงปลายศตวรรษ 1980 วัดที่ตั้งขึ้นหลอกๆ กลายเป็นของจริง เพราะชาวบูเรียตสนใจเข้าวัดมากขึ้นเรื่อยๆ วัดนี้ไม่ใหญ่โตเมื่อเทียบกับวัดพุทธหรือวัดธิเบตอื่นๆ ตั้งอยู่บนทำเลงามบนที่ราบใต้ยอดเขาหิมะขาวาูงตะหง่าน และมีลำธารเล็กๆ จากภูเขาไหลผ่าน ภายในตกแต่งด้วยสีสันสดสวย มีพระพุทธรูปหลายองค์และภาพวาดแบบบูเรียตกับพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมโดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่ควบคุม หากเดินไปตามทางเลียบกำแพงวัด ด้านในจะผ่านกงล้อภาวนา ให้หมุนเบาๆ กล่าวกันว่าหมุน 1 ครั้ง เท่ากับสาธยายมนต์พันครั้ง ที่อุโบสถใหญ่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ส่วนมากทำในช่วงเช้า เข้าชมได้แต่ควรนั่งอยู่ด้านหลัง เพราะด้านหน้าเป็นที่สำหรับพระลามะนั่ง
ศึกษาข้อมูลวัด อีโวลกินสค์ ตัตซัน ได้ที่นี้
เมืองโอมส์ / Omsk (Омск)
เมืองโอมส์ อยู่ห่างจากเมืองเยคาเตรินเบิร์ก (เมืองที่เป็นที่ปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์) ทางตะวันตกเฉียงเหนือและจากเมืองโนโวชีบีร์สค์ ทางตะวันออกเฉียงใต้เป็นระยะทางเกือบเท่ากันคือราว 800 กิโลเมตร เป็นศูนย์กลางการปกครองของไซบีเรียตะวันตก เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของไซบีเรีย ประชากร 1.2 ล้านคน และเก่าแก่เป็นอันดับต้นๆ
ก่อตั้งในปี พ.ศ. 1716 เพื่อเป็นเมืองหน้าด่านและต่อมากลายเป็นเมืองเนรเทศ เช่น นักเขียนโตสโตเยฟสกี ผู้อยู่ที่นี่ 4 ปี จนถึงปี 1854 ก่อนศตวรรษที่ 18 พ่อค้าชาวเมืองโอมส์ขายทาสให้ตลาดเอเซีย ทาสจะถูกกักกัน อยู่บน คาโตนสกี โอสโตรฟ (เกาะซาโตน) จนกว่าคนจะซื้อไป ปัจจุบันมีป้อมปราการ 2 แห่งที่เปิดให้ชม คือ สตารายา เครโปสต์ (ป้อมเก่า) และ โนวายา เครโปสต์ (ป้อมใหม่) ที่รัสเซียสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 ที่นี่ยังมี อิสโตรีโก-คราเยเวดเชสกี มูเชย์ (พิพิธภัณฑ์ศิลปะ เลขที่ 23A ถนนอูลิซ่ะ เลนีนา) ซึ่งยกย่องกันว่า เป็นพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในไซบีเรีย จัดแสดงงานศิลป์ถึง 7,000 ชิ้น
เมืองโตมสค์ / Tomsk (Томск)
เมืองโตมสค์ ห่างจากเมืองโนโวซีบิร์คส์ ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 400 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของรัสเซีย และมีจำนวนอาจารย์คิดเป็นอัตราต่อหัวสูงที่สุดในประเทศ มีสวนพฤกษศาสตร์ ตั้งอยู่ที่ 36 ถนนปรัสเปคต์ เลนีน่า ซึ่งถือเป็นสุดยอดของรัสเซียอีกแห่งหนึ่ง
เมืองวลาดิวอสตอค / Vladivostok (Владивосто́к)
เมืองวลาดิวอสตอค ตั้งอยู่ที่เชิงเขาชีโคเต-อะลิน ทิศตะวันตกติดจีน ทิศตะวันออกติดทะเลญี่ปุ่น มีผู้เปรียบเที่ยบวลาดิวอสตอค ว่าเป็น " ซานฟรานซิสโกแห่งรัสเซีย " เพราะตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแปซิฟิก อีกทั้งมีถนนลาดชันเหมือนกัน แต่นอกนั้นแล้วซานฟราซิสโกไม่มีสิ่งใดเหมือนวลาดิวอสตอค เมืองกองทัพเรือโซเวียตแห่งนี้เลย วลาดิวอสตอค เป็นเมืองที่ตัดขาดจากการขนส่งสินค้ากับต่างชาติโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่ปี 1958-91 รัสเซียยึดเมืองนี้มาจากจีน ในปี พ.ศ. 1860 และกลายเป้นเมืองท่าฝั่งตะวันออกไกลที่สำคัญของรัสเซียสมัยนั้น
ถนนลาดชัน ที่คดเคี้ยวไปมาทำให้มองเห็นทิวทัศน์ตัวเมืองและทะเลสวยได้อย่างเต็มอิ่ม อากาศหน้าร้อนประมาณ 20 องศาเซ็นเซียส หน้าหนาว หนาวสุดไม่เกิน -15 องศาเซ็นเซียส
เมืองเอกาเตรินเบิร์ก / Yekaterinburg (Екатеринбу́рг)
เมืองเอกาเตรินเบิร์ก มีประชากรประมาณ 1.5 ล้านคน เป็นเมืองที่สำคัญที่สุดในเขตอูรัล และเป็นเมืองอันดับ 3 ของประเทศรัสเซีย (เมืองใหญ่ๆ ของรัสเซียมักอ้างแบบนี้) แต่ไม่ปรากฏในแผนที่ท่องเที่ยว จนในปี 1990 ที่นี่ยังเป็นเมืองใหญ่เมืองแรกของรัสเซียฝั่งเอเซีย ถ้าขับรถไปทางตะวันตกตามทางหลวง 40 กิโลเมตร จะพบสัญญลักษณ์ระบุพรมแดน ยุโรป-เอเซีย สูง 4 เมตร
ตัวเมืองแผ่ไปตามลำแม่น้ำอีเซต ล้อมด้วยป่าไทก้า ฤดูหนาวที่นี่ยาวนาน 5 เดือน (พย.-เมย.) อุณหภูมิอาจลดต่ำถึง -40 องศาเซ็นเซียส ฤดูร้อนนานไม่เกิน 2 เดือน อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 20 องศาเซ๊นเซียส
เมืองเอกาเตรินเบิร์ก ก็เหมือนเมืองใหญ่อื่นๆ ในเขตอูรัลที่ล้วนเกี่ยวพันกับอุตสาหกรรม มีโรงหลอมเหล้กแห่งแรกเกิดขึ้นในปี 1723 หลังก่อตั้งเมือง 5 ปี ตามด้วยธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆ ที่หวังผลกำไรจากสินแร่มั่งคั่ง เมื่อต้นศตวรรษที่ 19 มีประชากรเพียง 10,000 คน ในปี 1917 เพิ่มเป็น 4 เท่า และเมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามทำให้อุตสาหกรรมเฟื่องฟู เมืองนึ้จึงกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญที่สุดของโซเวียตอยู่อีกหลายปี ด้วยรากฐานอุตสากรรมที่เข้มแข็ง ที่นี่จึงเป็นหนึ่งในไม่กี่เมืองนอกฝั่งยุโรปที่เอาตัวรอดได้ ในยุคปฎิรูปตลาดเสรี
เมืองเอกาเตรินเบิร์ก เป็นบ้านเกิดของประธานาธิบดีเยลต์ซิน
เมืองเอกาเตรินเบิร์ก มีชื่อเสียงในฐานะบ้านเกิดของประธานาธิบดี โบริส เยลต์ซิล ประธานาธิบดีคนแรกของสหพันธรัฐรัสเซีย และนายนิโคไล รีชโคฟ นายกรัฐมนตรีในรัฐบาลกอร์บาซอฟ เยลต์ซิล เิกิดในครอบครัวที่ฐานะยากจน ที่หมู่บ้านบุตกา ห่างจากเอกาเตรินเบิร์ก ราว 150 กิโลเมตร เขาใช้ชีวิตวัยเยาว์ที่เมืองนี้ เมื่อจบจากสถาบันโพลีเทคนิคอูรัล ( ปัจจุบัน คือ อูรัลส์ สเตต เทคนิคัล ยูนิเวอร์ซิตี้ ) ก็ทำงานอุตสาหกรรมก่อสร้าง และไต่เต้าสร้างผลงานในพักคอมมิวนิสต์
เยลต์ซิล มีภาพลักษณ์เป็นผู้นำทีเด็ดขาดและได้รับความนิยมสูง ด้วยแรงหนุนจากกอรืบาซอฟ เยลต์ซิลถูกเรียกตัวไปเมืองหลวงเพื่อรับตำแหน่งผู้นำพรรค สาขามอสโก ซึ่งก็คือ ตำแหน่งนายกเทศมนตรีนั่นเอง เขาใช้ตำแหน่งนี้เป็นฐานอำนาจปฎิรุปจักรวรรดิโซเวียต โดยไม่รู้ตัวว่า จะได้อยู่มอสดกต่อไปในฐานะประธานาธิบดีแห่งรัสเซียใหม่
เมืองเอกาเตรินเบิร์ก : วาระสุดท้ายของซาร์
Shooting of the Romanov family
ในตำราประวัติศาสตร์ เอกาเตรินเบิร์กโด่งดังไม่ใช่เพราะเป็นเมืองอุตสาหกรรม แต่เพราะเป็นสถานที่ปลงพระชนต์ซาร์นิโคลัสที่ 2 หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์บอลเชวิค (พรรคเสียงข้างมาก) ปฏิวัติยึดอำนาจในปี 1917 ได้นำพระเจ้าซาร์ พระชายา พระโอรสพระธิดา ไปคุมขังตามสถานที่ต่างๆ หลายแห่ง ก่อนย้ายไปเมืองเอกาเตรินเบิร์ก ในเดือนมิถุนายน ปี 1917 โดยคุมขังไว้ภายในบ้านอิฐซึ่งเคยเป็นของนักธุรกิจท้องถิ่นนาม อีปาเตียฟ (คนจึงเรียกบ้านนี้ว่า บ้านอีปาเตียฟ ซึงก็เข้าใจตรงกันว่า เป็นบ้านที่สังหารพระเจ้าซาร์นั่นเอง)
วาระสุดท้ายของทุกพระองค์เป็นอย่างไรนั้น เป็นความลับดำมืดในยุคโซเวียต แต่นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าต้องได้รับกาทารุณจากทหารยามแน่นอน ในเดือนกรกฎาคม พรรคบอลเซวิค(นำโดยเลนิน) หวั่นเกรงว่า กองกำลังต่อด้านบอลเซวิค ที่กำลังรุกคืบใกล้เมืองเข้ามา อาจช่วยเหลือชิงตัวซาร์กลับไป จึงตัดสิีนใจ กำจัดพระองค์ทิ้งให้สิ้นเรื่อง
คณะก่อการนำตัวซาร์ พระชายา พระโอรส พระธิดา นายแพทย์ประจำพระองค์และข้าราชบริพาร ลงไปห้องใต้ดิน แล้วทรงบอกว่าพระองค์กำลังจะตาย นักประวัติศาสตร์วิลเลี่ยล เฮนรี่ แซมเบอร์แลน เล่าว่า " ซาร์ทรงไม่เข้าพระทัย ตรัสถามว่า... อะไรนะ!!! " เพียงเท่านั้น ยูโลสกี้ ก็ชักปืนยิงพระองค์ล้มลง เป็นสัญญาณเริ่มต้นการสังหารหมู่ ยามคนอื่นๆ ชักปืนออกมารัวกระสุนใส่ ร่างพระชายา พระโอรสและพระธิดา พระศพและศพทั้งหมดถูกทิ้งไว้ในหลุมตื้นๆ ในป่าแถวนั้น กระทั่งปี 1998 จะมีการตั้งทีมงานทั้งจากในและนอกปรเทศทำการขุดค้น วิจัยและค้นคว้า หาหลักฐานต่างๆ โดยรัฐบาลของประธานาธิบดี โบริส เยลต์ซิน (ท่านเป็นคนเมืองเอกาเตรินเบิร์ก) ก่อนนำพระอัฐิกลับมายังนครเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก เก็บไว้ภายในป้อมปีเตอร์แอนด์ปอล ริมฝั่งแม่น้ำเนวา และจัดงานยิ่งใหญ่อย่างสมพระเกียรติของซาร์แห่งรัสเซีย
ช่วงการปฏิวัติยึดอำนาจ รัสเซียแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย
1. ฝ่ายรัสเซียขาว (นิยมระบบซาร์ นำโดยทหารผู้จงรักภักดี ต่อพระองค์)
2. รัสเซียแดง (ล้มล้างระบบซาร์ นำโดยเลนิน)
ปัจจุบัน พื้นที่บริเวณบ้านอีปาเตียฟ (Ipatiev House) ถุกสร้างเป็นโบสถ์ "Church on the Blood : โบสถ์อนุสรณ์บนโลหิตของผู็ศักดิ์สิทธิ์ " สถาปนาขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2003 ในวาระครบรอบ 85 ปี หลังเหตุการณ์สังหาร สร้างเพื่อเป็นถาวรสถาน ให้ทุกคนได้รำลึกเหตุการณ์ในครั้งนั้น และจัดให้เป็นสถานท่องเที่ยวของเมืองเอกาเตรินเบิร์กที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง
มีเรื่องเล่าว่า ในช่วงหลายทศวรรษ หลังการปฏิวัติ บ้านอีปาเตียฟ กลายเป็นสิ่งรำลึกถึงอดีต จนรัฐบาลคอมมิวนิสต์วิตกว่าบ้านอีปาเตียฟ จะกลายเป็นสถานที่รวมใจ จึงออกคำสั่งในปี 1977 ให้ โบริส เยลต์ซิล จัดการรื้อถอนบ้าน สองสามวันหลังจากนั้น มีรถขุด ยกขบวนมากลางดึก รุงเช้าบ้านทั้งบ้านก็อันตรธานหายไป....
เมืองนิชนี โนฟโกหรัด / Nizhny Novgorod (Нижний Новгород) - often listed as Gorki (Горький)
อาจกล่าวได้ว่า เมืองที่พัฒนาเศรษฐกิจได้ผลสูงสุดในยุคสิ้นคอมมิวนิสต์รองจากมอสโก คือ นิชนี โนฟโกหรัด (ในยุคโซเวียต ชื่อ กอร์กี ตามชื่อนักเขียน มัคซิม กอร์กี ซึ่งเกิดที่เมืองนี้)
เมืองนิชนี โนฟโกหรัด ตั้งอยู่เหนือคาซานขึ้นไปทางต้นน้ำ 250 กิโลเมตร มีประชากรราว 1.6 ล้านคน ก่อตั้งเมื่อต้นศตวรรษที่ 13 มีประวัติศาสตร์ใกล้ชิดกับกลุ่มเมืองในโซโลโตเย โคลโซ (เมืองเขตโกลเดนริง เช่น เมืองวลาดิมีร์ เมืองซัซดัล เมืองซาร์กอส เป็นต้น) แต่มักจัดอยู่ในกลุ่มเมืองใหญ่ของลุ่มแม่น้ำโวลกาและของรัสเซีย สองยักษ์ใหญ่แห่งวงการวิศกรรมโซเวียตมีกำเนิดขึ้นที่นี่ คือ มิก (MiG) ผู้ผลิตอากาศยาน และ GAZ หรือ กอร์กี อัฟโต ซาโวด (โรงงานผลิตรถยนต์กอร์กี) ผู้ผลิตรถยนต์ซาลูนโวลกา ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 GAZ มีพนักงานถึง 350,000 คน โลกรู้จักเมืองนี้เพราะอันเดรย์ ซาคาโรฟ นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลผู้คัดค้านรัฐบาล ถูกเนรเทศมาอยู่ที่นี่ในทศวรรษที่ 1980
ปัจจุบันอพาร์ตเม้นท์ของเขา เป็นพิพิธภัณฑ์มูเซ่ร์ อา.แด ซาคาโร-วา ตั้งอยู่ที่ 214 ถนนปรัสเปคตื กาการีนา เปิดวันเสาร์-พฤหัสบดี เวลา 10.00-17.00 น.
ภายในเครมลิน มี วิหารอัครเทวดาไมเคิล, และจวนผู้ว่าการยุ๕ศตวรรษที่ 19 ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ เปิดวันพุธ-จันทร์ 10.00-17.00 น.
เมืองโนโวซีบีร์สค์ Novosibirsk (Новосибирск)
เมืองโนโวซีบีร์สค์ เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในไซบีเรีย มีบ้านมาตรฐานแบบการเคหะ เพราะสร้างให้เป็นเมืองนิคมอุตสาหกรรม เมืองนี้คือเมืองที่เป็นอนุสรณืแห่งความมุ่งมั่นของสตาลินที่จะสร้างให้รัสเซียเป็นชาติอุตสาหกรรม มีสนามบินที่เป็นศูนย์กลางของไซบีเรีย เกือบทุกเที่ยวบินระหว่างมอสโกและตะวันออกไกล จะต้องแวะเติมน้ำมัน
เมืองโนโวซีบีร์สค์ มีศูนย์วิจัยอะคาเดมโกโรโคค (เมืองวิชาการ) สถาบันที่ผจญกับปัญหาสมองไหลอย่างหนักเมื่อต้นทศวรรษ 1990 ยังมีโรงละครและพิพิธภัณฑ์ที่น่าชม คือ พิพิธภัณธ์ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ซึ่งบันทึกหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และโครงสร้างทางเชื่อชาติของไซบีเรียไว้อย่างยอดเยี่ยม มีกระทั่งซากซ้างแมมมอธ
เมืองกราสโนยาร์สค์ Krasnoyarsk (Красноярск)
เมืองกราสโนยาร์สค์ เมืองนี้ก่อตั้งในปี 1628 ริมแม่น้ำเยนิเซย์ เมืองนี้กลายเป็นเมืองสำหรับเนรเทศนักโทษทางการเมือง แต่ในปัจจุบันกลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่สำคัญ ผลิตทั้งเหล็กและอลูมิเนียม เครื่องจักรกลหนักและอุปกรณ์การเกษตร สิ่งที่โดดเด่นเป็นสง่าของเมือง คือ โบสถ์โบโครฟสกายา เซร์โคฟ และยังมีพิพิธภัณฑ์อีกหลายแห่ง เช่น พิพิธภัณฑ์และศูนย์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมกราสโนยาร์สค์ บนถนนอูลิซ่ะ ดูโบวินสโกโว มีเรือ เซ็นต์ นิโคไล ตั้งแสดงอยู่ เล่ากันว่า เลนิน ตอนที่ถูกเนรเทศ ได้โดยสารเรือนี้ ไปคูเซนสโกเย ในปี 1897 วาซิลี ซูริโคฟ จิตรกรยุคศตวรรษที่ 19 เกิดและใช้ชีวิตที่เมืองนี้ ชมบ้านของเขาได้ที่ 98 ถนนอูลิซ่ะ เลนีน่า ซึ่งปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ มูเซร์ - อูซัดบาแว.อี ชูริโควา
เมืองเปียร์ม Perm (Пермь)
เมืองเปียร์ม มีประชากรประมาณ 1 ล้านคน อยู่ติดเทือกเขาอูรัลฝั่งยุโรป เป็นเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทั้งๆ ที่เมื่อกำเนิดขึ้นในปี 1723 นั้นเป็นเพีบงหมู่บ้านใกล้โรงงาน ชื่อเมืองเปลี่ยนเป็น โมโลโตฟ เพื่อเป็นเกียรติแก่รัฐมนตรีต่างประเทศของโวเวียต ผู้ลงนามในสนธิสัญญายุติความรุนแรงกับกองทัพนาซี เยอรมันในปี 1939 เมืองเปียร์มมีพิพิธภัณฑ์หอภาพสเตต จัดแสดงภาพยุคศตวรรษที่ 16-19 ขึ้นเหนือไป 45 กิโลเมตร มีพิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมชาติพันธุ์ ที่โคโคลฟกา จัดแสดงนิทรรศการชีวิตชนบท ยุคก่อนศตวรรษที่ 20
เมืองคาซาน Kazan (Казань)
มีประชากรราว 1.1 ล้านคน เป็นเมืองหลวงของตาตาร์สถาน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาธารณะรัฐอธิปไตยในสหพันธรัฐรัสเซีย ก่อตั้งขึ้นในช่วงหลังของศควรรษที่ 13 เป็นเมืองหลวงของแคว้นคาซาน เมื่อกลาวศตวรรษที่ 15 ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 15 ต่อต้นศตวรรษที่ 16 ถูกเจ้าชายมอสโกรุกรานหลายครั้ง จนปี 1552 จึงตกเป็นรัฐของรัสเซีย ครั้นศตวรรษที่ 18 ก็ก็เติบโตขึ้นเป็นศูนย์กลางการปกครอง การค้า อุตสาหกรรมและวัฒนธรรม
เครมลินแห่งคาซาน (กำแพงหรือป้อมคาซาน) เป็นกลุ่มอาคารศตวรรษที่ 16 โดยเฉพาะหอคอยนั้นงามมาก มีหอคอยไตนิสกายา สปัสสกายา และบาชเนียที่เป็นหอนาฬิกาสุง 45 เมตร เริ่มสร้างในปี 1555 และหอคอยซูยูมปีเก เจ็ดชั้น สุง 55 เมตร มีตึกหินโค้ง และปรธตูเปืดไปสู่สุสานแห่งกษัตริย์ เป็นต้น
เมืองคาซานเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเก่แก่าและมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของรัสเซีย นักวิชาการ นักเขียน และนักการเมืองสำคัญ เช่น เลนิน, โลบาเยฟสกี, ลีโอ ตอลสตอย ล้วนเป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยคาซาน เมืองคาซาน ยังเป็นบ้านเกิดของ มูซา จาลิล กวีชาวตาตาร์ และนักร้องโอเปร่าฟิโอดอร์ ชาเลียปิน
Beijing-Moscow
I presume you are interested in booking a train via Mongolia
Train no 3 every Wednesday
Leaving at 0745 Local Time
Arriving Moscow next Monday at 1428 Moscow time
2nd class soft sleeper- 4 berths will cost £ 712.00 pp one way
3d class hard sleeper - 4 berths will cost £ 490.00 pp one way
The tickets to be issued in Beijing and can be collected or delivered there.
Breakfast is not included in the ticket price. The food to be brought with you on train or bought in the restaurant. The restaurant prices when travelling on the Russian territory are quite high.
อยากกอปปี้จังเยย
**** executiveguide@yahoo.com อ้างลิงค์มาที่เว็บหน้านี้ก็ได้ครับ เพื่อให้เครดิตคนทำครับ เป็นมรรยาทที่ดีของโลกอินเตอร์เน็ต
๏ปฟ
Start : August 31, 2010
................. เว็บบอร์ดนี้เป็น
บอร์ดนำเสนอข้อมูลเท่านั้น ไม่ได้เน้นการโพสต์ตอบแต่อย่างใด เรามีการเก็บข้อมูลผู้ใช้
เพื่อวิเคราะห์เส้นทางการเข้าถึงบอร์ดนี้