9.จักรพรรดิปอลที่ 1
17 พฤศจิกายน 24 มีนาคม ค.ศ. 1796 ค.ศ. 1801 (ถูกปลงพระชนม์)
ในสมัยที่ประเทศรัสเซียที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยนั้น พระเจ้าแผ่นดินรัสเซียทรงอำนาจเด็ดขาดเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และอำนาจเด็ดขาดของพระเจ้าแผ่นดินรัสเซียนั้น บางทีก็ทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ประเทศ เช่น ในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราชและพระนางคัธริน แต่บางครั้งก็เกิดเรื่องหายนะ และทำความลำบากแก่พลเมือง ก่อความเดือดร้อนทุกเส้นหญ้า และก็เป็นเคราะห์ร้ายที่รัสเซียมีพระเจ้าแผ่นดินที่ร้ายมากกว่าดี พระเจ้าปอลที่ 1 ซึ่งประสูติในปีพุทธศักราช 2344 เป็นองค์หนึ่งในบรรดากษัตริย์ที่ไม่ดีของรัสเซีย
พระเจ้าปอลที่ 1 ไม่ใช่คนเล็กน้อย เป็นพระโอรสของพระนางคัธรินมหาราชินี องค์สำคัญที่เราอ่านเรื่องของพระนางมาแล้ว
แม้พระชนนีคือพระนางคัธรินเอง ยังไม่แน่พระทัยว่า พระโอรสพระองค์นี้ เกิดจากพระสวามีหรือชู้รักคนใด เพราะก่อนที่พระนางคัธรินจะตั้งครรภ์พระโอรสองค์นี้ มีการสับสนอลหม่านจนไม่รู้ว่าใครเป็นคนให้ลูก แต่องค์พระเจ้าปอลเองทรงเชื่อว่า พระองค์ทรงเป็นพระโอรสของพระเจ้าปีเตอร์ที่ 3 พระราชสวามีทางราชการของพระนางคัธริน เมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2339 และพระเจ้าปอลที่ 1 ได้ราชสมบัติแล้ว ก็ทรงเนรเทศคนที่สงสัยว่าปลงพระชนม์พระชนกออกไปไซบีเรียทั้งหมด ทรงปกครองประเทศอย่างโง่เขลา ออกกฏหมายที่ทำความเดือดร้อนแก่ราษฏร และดำเนินนโยบายที่ผิดมาตลอด พระราชจริยวัตรตลอดรัชกาลสั้นๆ ทำให้คนทั้งหลายปลงใจเชื่อว่า พระองค์เป็นลูกของพระเจ้าปีเตอร์ที่ 3 จริงๆ เพราะมีลักษณะโง่ๆ บ้าๆ เหมือนพ่อ หาความฉลาดเหมือนแม่ไม่ได้แม้แต่นิดเดียว อยู่ในราชสมบัติใด้เพียง 5 ปี ก็ถูกพวกนายทหารของพระองค์เองบังคับให้สละราชสมบัติ และเค้นคอตายเช่นเดียวกับพระชนก เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2344
เรื่องที่เล่าลือเกี่ยวกับพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ และเป็นเรื่องที่นักประพันธ์นักแต่งละคร ตลอดจนผู้สร้างภาพยนตร์ในสมียนั้นนำเอามาใช้ คือ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้
วันหนึ่งพระองค์ประทับรถพระที่นั่ง เสด็จประพาสตามถนนในเมือง ทรงพบพลทหารคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาเข้าที ก็เกิดโปรดปราณขึ้นมาในทันใดนั้น จึงทรงหยุดพระรถที่นั่ง และรับสั่งแก่พลทหารคนนั้นว่า
" ขึ้นมาบนรถฉันนี่ นายร้อยโท "
" ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นแต่เพียงพลทหาร " พลทหารผู้นั้นตอบ
" ถูกแล้ว " พระเจ้าปอลรับสั่ง
" แกเป็นพลทหาร แต่ในทันทีที่ฉันเรียกนายร้อยโท แกต้องเป็นนายร้อยโท "
พลทหาร ซึ่งได้ยศเป็นนายร้อยโท โดยรับสั่งของพระเจ้าปอลคำเดียวนั้นก็ตั้งสติมั่น เพื่อให้แน่ใจว่าตัวไม่ได้ฝันไป แล้วก็ก้าวมาใกล้รถพระที่นั่ง
" ขึ้นมาซิ นายพันตรี " พระเจ้าปอลที่ 1 รับสั่งต่อ
บุรุษเคราะห์ดีผู้ซึ่งได้เลื่อนจากพลทหารขึ้นเป็นนายพันตรีในชั่วเวลา 2-3 นาทีก็ก้าวขึ้นบนรถพระที่นั่ง
" เข้ามาใกล้ๆ ฉันนี่นายพันเอก " พระเจ้าปอลที่ 1 รับสั่งต่อ
ตกลงพลทหารผู้นั้นก็เป็นนายพันเอก และเมื่อขึ้นไปนั่งเรียบร้อย รถพระที่นั่งก็เคลื่อนที่ต่อไป เผอิญในระหว่างเวลาที่รถพระที่นั่งแล่นไปนั้น พระเจ้าปอลคงมีเรื่องอะไรที่ต้องทรงตรึกตรอง จึงมิได้รับสั่งอะไรอีก หาไม่พลทหารผู้นั้นจะได้ขึ้นถึงจอมพล
ตั้งแต่นั้นมา พลทหารที่ได้เป็นนายพันเอกในชั่วเวลา 2-3 นาทีนั้น ก็มีหน้าที่เป็นราชองครักษ์ ตามเสด็จเสมอในเวลาเสด็จประพาสที่ต่างๆ จนในที่สุดก็ได้เป็นนายพล พอถึงวันที่พระเจ้าปอลเบื่อหน้านายพลคนใหม่นี้เข้าแล้ว ก็ทรงใช้วิธีอย่างที่เคยทรงใช้มาแล้วในครั้งก่อน
" ขยับออกไปให้ห่างหน่อย นายพันเอก " พระเจ้าปอลรับสั่งในขณะที่ทรงเสด็จประพาสกับราชองครักษ์ตัวโปรดของพระองค์ ซึ่งบัดนี้หายโปรดเสียแล้ว และนายพลผู้นั้นต้องกลับลงเป็น นายพันเอกใหม่
พอรถพระทีนั่งแล่นต่อไปได้หน่อยหนึ่ง ก็มีรับสั่งให้หยุดรถ และรับสั่งกับราชองครักษ์ผู้นั่นว่า
" ลงไปข้างล่างนายร้อยโท " นายพลซึ่งกลับลงเป็นนายร้อยโท ก็ลงจากรถ
" กลับไปประจำที่เดิมของแก พลทหาร " พระเจ้าปอลรับสั่งต่อีก
พลทหารซึ่งกลับเป็นพลทหารผู้นั้น ก็กลับไปที่เดิมของตน และแน่ใจอยู่เสมอว่า เรื่องราวที่ผ่านมาแล้วนั้น ตัวไม่ได้ฝันไปเลย
วันหนึ่งพระเจ้าปอลออกตรวจกองทหาร ก็ได้พบหน้าราชองครักษ์ ชั่วคราวของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จึงทรงเรียกตัวออกมาจากแถว
คนผู้นั้นก้าวออกมาด้วยความดีใจว่า คงจะประสบโชคอันใหญ่หลวงที่เคยประสบมาแล้ว
" ขวาหัน " พระเจ้าปอลรับสั่ง และพลทหารผู้นั้นก็หันไปทางขวาทันที
" เดินตรงไปไซบีเรีย " พระเจ้าปอลรับสั่งต่อ
ในที่สุด พลทหารผู้นั้นก็ถูกเนรเทศไปอยู่ไซบีเรีย โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าได้ทำความผิดอะไร
ที่มา : หลวงวิจิตรวาทะการ